ตอนที่แล้วเป็นเรื่องการทำนายอนาคต ถ้าใครสังเกตจะเห็นว่าผมไม่ได้รวม must กับ have to เข้าไปในกลุ่มด้วย เวลาคนไทยเราทำนายอนาคต บางทีก็ฟันธงโดยใช้คำว่าต้อง เช่น เราอาจพูดว่า “พรุ่งนี้ฝนต้องตกแน่นอน” ซึ่งก็ควรแปลว่า It will definitely rain tomorrow. ถ้าเราไปพูดว่า It has to (หรือ must) rain tomorrow. มันมีความหมายเหมือนกับว่าเราอยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เมื่อมาใช้กับเหตุการณ์ที่คนเราควบคุมไม่ได้ เช่น ปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างนี้ โดยมากก็ควรมีสถานการณ์ประกอบว่าทำไมถึงพูดอย่างนั้น เช่น อาจพูดว่า It has to rain tomorrow for our plant to survive. ฝนต้องตกพรุ่งนี้เพื่อว่าต้นไม้เราจะอยู่รอดได้ (คนพูดอาจจะไม่ได้อยู่บ้านหลายวัน แล้วก็ไม่มีใครรดน้ำต้นไม้)
ถ้าเป็นการคาดคะเนสถานการณ์ปัจจุบัน คราวนี้ก็ใช้ must ได้เหมือนแบบไทย ๆ ครับ may, might, can, could อะไรต่าง ๆ ก็ยังใช้ได้อยู่เพื่อบ่งบอกถึงระดับความมั่นใจตามที่กล่าวมาในตอนที่แล้ว รูปประโยคการคาดคะเนเหตุการณ์ปัจจุบัน หรือการทำนายอนาคตนั้นก็เหมือนกัน (คำพวกนี้เป็นกริยาช่วยที่อาจมีความหมายเป็นปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้) ถ้าเราต้องการเน้นว่าเกิดขึ้นอยู่ ก็ใช้เป็นปัจจุบันกาลแบบต่อเนื่อง (continuous tense) ก็ได้ เช่น
- It must be raining badly right now. “ฝนต้องกำลังตกอยู่อย่างหนักแน่เลย” ก็เป็นการคาดการณ์ในปัจจุบัน คือ คนพูดอาจอยู่ในตึก ไม่เห็นฝน แต่ได้ยินเสียง
- He must be crazy to do like that. “หมอนี่ต้องบ้าแน่ ๆ ที่ทำอย่างนั้น”
- They did not invite you to the party? They must not like you. “เขาไม่เชิญคุณไปงานเลี้ยงหรือ เขาต้องไม่ชอบคุณแน่เลย” คือ คนอื่น ๆ อาจได้เชิญไปกันหมด
เมื่อคำว่า must หรือ have to ถ้าใช้กับเหตุการณ์ในอนาคต ก็มักจะสื่อถึงความต้องการ หรือความตั้งใจของผู้พูด และสองคำนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างกันเวลาใช้ must ให้ความรู้สึกที่แรงกว่าถึงความต้องการของผู้พูด หรือความมุ่งมั่นของผู้พูด ในขณะที่ have to ให้ความรู้สึกในทำนองว่าเป็นความจำเป็นของสถานการณ์ ดังนั้น must มีความแข็งมากกว่า ดังที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้วครั้งหนึ่ง เรื่องการสั่ง หรือให้คำแนะนำคนอื่นที่ว่า ถ้าเราบอกว่า You must … มันฟังดูเหมือนไปสั่งเขา ถ้าเป็นกฎระเบียบก็ฟังดูเข้มงวดกว่า และถ้าใช้ You need to … หรือ You have to … ก็จะฟังอ่อนลง เหมือนเป็นการถูกบังคับด้วยสถานการณ์มากกว่า ตอนนี้ลองมาดูเวลาประธานเป็นตัวอื่นกันบ้าง
- I must do better next year. “ฉันต้องทำให้ดีกว่านี้ปีหน้า” แสดงถึงความตั้งใจมั่น
- I have to do better next year. หรือ I’ll have to do better next year. ก็ยังแสดงถึงความตั้งใจอยู่ แต่อ่อนลงกว่าแบบแรกหน่อย
- These tragedies must end. And to end them, we must change. “โศกนาฏกรรมลักษณะนี้ต้องหมดไป และจะหมดไปได้ เราก็จะต้องเปลี่ยน” ประโยคนี้คุณโอบามาเพิ่งพูดไปเมื่อไม่นานนี้ เกี่ยวกับเหตุการณ์การสังหารเด็กในโรงเรียน ถ้าใช้ have to ก็จะฟังไม่หนักแน่นเท่า
- The show must go on. “โชว์นี้ หรือ งานนี้ต้องดำเนินต่อไป” ประโยคนี้เป็นสำนวนมาจากวงการบันเทิง เวลาถ่ายทำหนัง หรือแสดงละครเวที แล้วเกิดอุปสรรคอะไร เขาก็บอกว่า เลิกไม่ได้ ทำมาแล้วต้องทำต่อให้เสร็จ ปัจจุบันก็นำมาใช้กับสถานการณ์อื่นได้เหมือนกัน เช่น พนักงานลาออกจากกลุ่ม คนที่เหลืออยู่ก็ต้องดำเนินการต่อไป ก็พูดประโยคนี้ปลุกใจกันได้เช่นกัน
- I have to go now. “ฉันต้องไปล่ะ” ฟังดูเป็นเหตุการณ์ปกติกว่า I must go now. ซึ่งดูเหมือนมีเรื่องสำคัญ
อีกคำหนึ่งที่แปลว่า “ต้อง” ได้เหมือนกันคล้ายกับ must ก็คือ shall แต่เป็นในทำนองความหมายกึ่ง ๆ ระหว่าง must กับ will คือ กึ่ง ๆ ระหว่างการสั่ง หรือการตั้งใจ กับการดลบันดาล ภาษาไทยบางทีก็ใช้คำว่า “จง” ในสถานการณ์อย่างนี้ คำว่า shall มีใช้ในสถานการณ์ที่จำกัดหน่อย เพราะฉะนั้น ระวังอย่าไปพูดพร่ำเพรื่อ (ดูข้อยกเว้นข้างล่าง) ถ้าใช้ถูกต้องก็ฟังดูขลัง และเท่ แต่ถ้าไม่ถูกกาละเทศะก็จะฟังดูประหลาด หรือโบราณ ๆ หน่อย โดยทั่วไปแล้วใช้ must แทนจะปลอดภัยกว่า ลองดูตังอย่าง
- I/We shall do better next year. ก็พอจะใช้ได้ เหมือนเป็นการสั่งตัวเอง
- We shall not kill or hurt others. “ท่านจงไม่ฆ่า หรือทำร้ายผู้อื่น” นี่ก็มาจากศีลห้าข้อที่หนึ่งนะครับ อันนี้ก็ใช้ shall เหมาะสมกว่า must เพราะเป็นคำสั่งสอน หรือข้อบังคับทางศาสนา
- They shall be punished according to the law. “เขาควรต้องถูกลงโทษตามกฏหมาย”
มีข้อยกเว้นสำหรับ Shall ที่ใช้บ่อยมาก ก็คือ Shall we … ? มีความหมายเป็นการชวน เช่น Shall we go today? “เราไปวันนี้กันเลยไหม” ไม่ได้มีความหมายทำนองบังคับ แต่อย่างใด