พูดถึง would ไปมากแล้ว คุณคงเห็นแล้วว่า would ไม่ได้ใช้อธิบายอดีตกาลอย่างเดียว ตอนนี้เรามาพูดถึง could กับ might บ้าง เช่นเดียวกันนะครับ could เป็นอดีตกาลของ can และ might ก็เป็นอดีตกาลของ may เวลาเล่าเรื่องอะไร แต่ก็ยังมีวิธีใช้อื่นอีก ตอนนี้ เรามาดูวิธีใช้ในการทำนายอนาคตดู ช่วงนี้เป็นช่วงสิ้นปี ถ้าใครฟังข่าวบ่อย ๆ ก็จะมีผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจออกมาทำนายว่าปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งในสถานการณ์นี้ เราก็สามารถใช้ could กับ might ได้ โดยที่ could มีความหมายอ่อนกว่า can แปลว่า สามารถจะ และ might ก็มีความหมายอ่านกว่า may แปลว่า อาจจะ
สมมติว่าเราพูดโดยเฉพาะการทำนายอนาคตที่ยังไม่มาถึง ว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในปีหน้า จะพูดได้อย่างไรบ้าง ผมจะเรียงจากความมั่นใจมากไปจนถึงความมั่นใจน้อยที่สุดนะครับ
- This will definitely happen next year. ก็แปลว่า จะเกิดขึ้นแน่นอน หรือ ต้องเกิดขึ้น ก็ใช้ adverb เช่น definitely หรือ surely หรือ absolutely ขยายเพื่อเป็นการเน้นมากขึ้น
- This will happen next year. อ่อนลง แต่ก็ยังเป็นการพูดแบบฟังธงอยู่ แค่ไม่ได้ใช้คำช่วยเน้นเท่านั้น
- This will likely happen next year. เริ่มอ่อนลง และเลิกฟันธงแล้ว ก็เหมือนเราพูดว่า น่าจะเกิดขึ้น หรือ คงจะเกิดขึ้น
- This should happen next year. ก็ความหมายใกล้เคียงกับ will likely
- This will probably happen next year. เริ่มอ่อนลงไปอีกครับ คำว่า probably -[พรอบ]-เบะ-บลี- นี้นิยมใช้กันมากในสถานการณ์ต่าง ๆ
- This can happen next year. can ก็เหมือนเราพูดว่า สามารถเกิดขึ้นได้
- This may happen next year. may ก็เหมือนเราพูดว่า อาจจะเกิดขึ้น ความหมายใกล้เคียงกับ will probably
- This could happen next year. เป็น “อาจจะ” ที่อ่อนกว่า could
- This might happen next year. เป็น “อาจจะ” ที่อ่อนกว่า may
เรื่องลำดับของความมั่นใจนี้ ถามคนอื่น อาจได้คำตอบไม่เหมือนกันเป๊ะ ก็อย่าไปเครียด หรือไปปวดหัวจำตายตัวนะครับ ฟังไป ใช้ไปมาก ๆ ก็จะชินไปเอง แล้วก็ใช้ปน ๆ กันไปตามความรู้สึก และสไตล์เฉพาะตัว ทุกแบบที่ยกมาข้างต้นนั้น พบเห็นบ่อย ๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญที่ชี้ให้เห็นในที่นี้ คือ might อ่อนกว่า may และ could อ่อนกว่า can อันนี้รับรองว่า คนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน