เสียงน้ำตก กับแมลงวัน
ตอนนี้เรามาว่าถึงเสียงตัวร้ายหน่อย คือ เจ้าตัวเสียงซ่านั่นแหละครับ เสียงซ่าในภาษาอังกฤษมีอยู่สองเสียง คือ s กับ z สำหรับของไทยเรามีเสียงเดียว คือเสียง ส หรือ ซ ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นเสียงเดียวกัน เสียงนี้เทียบเท่าได้กับเสียง s ในภาษาอังกฤษ ซึ่งผมก็ขอใช้ -ส- เป็นตัวระบุเสียงนี้นะครับในการเขียน phonetics โดยใช้อักขระไทยของเรา สำหรับเสียง z ซึ่งเราไม่มีในภาษาไทย ก็จะขอใช้ -ซ- เป็นตัวระบุเสียงนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่า ระบบการเขียนวิธีออกเสียงนี้ไม่ขึ้นกับเสียงวรรณยุกต์นะครับ อักษร ส ในภาษาไทยบังเอิญเป็นอักษรสูงซึ่งผันได้แค่สามระดับวรรณยุกต์ (สา ส่า ส้า) ในการอ่าน phonetics เราก็พยายามอย่าไปอ่านแบบไทยซะทีเดียว ให้ถือว่า เสียง -ส- แทนเสียง s และเสียง -ซ- แทนเสียง z ส่วนระดับเสียงนั้นก็ขึ้นกับสถานการณ์การใช้ เรื่องระดังเสียงนี้ผมพูดถึงในบทที่ 4 และบทที่19
คราวนี้เราลองมาทำเสียงซ่ากันดู รากเสียงของเสียง -ส- หรือ s เป็นเสียงลมเฉย ๆ ให้ลองเอามือจับตรงคอหอยตัวเอง แล้วส่งเสียงลมออกมา เหมือนกับจะพูดว่า สี่… หรือ ซี… ยาว ๆ โดยไม่ให้มีเสียงที่คอเลย ถ้ามือคุณไม่รู้สึกว่าคอสั่นก็ถึอว่าใช้ได้ เสียงจะเหมือนกับ เสียงน้ำตก หรือเสียงซ่าจากวิทยุเวลาหาคลื่นไม่เจอ สำหรับเสียง -ซ- หรือ z ให้ทำปากเหมือนกันกัยเสียง -ส- ส่งเสียงซ่าออกมาเหมือนกัน แต่คราวนี้ให้ส่งเสียงออกมาจากคอด้วย เสียงจะเป็นเสียงซ่าแบบฮัม คล้ายกับเสียงแมลงวัน หรือผึ้งบินนั่นแหละครับ ลองเอามือจับคอหอยดู และให้รู้สึกว่าคอสั่นตอนพูดเสียงนี้
ลองดูคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงซ่าดูนะครับ ถ้าเป็นเสียง s ก็พูดเหมือนเสียงแบบไทย ๆ ปกติ แต่ถ้าเป็นเสียง z ให้ทำเสียงฮัมผสมอยู่ในเสียงพยัญชนะต้นด้วย
- c -สี-
- z อเมริกันอ่านว่า -ซี- อังกฤษอ่านว่า -แซด- คนไทยเราออกเสียงตามแบบอังกฤษแต่ไปใช้เสียงตัว s เป็น -แสด- แทน ลองออกเสียงให้ถูกโดยใช้ตัว -ซ- ดูนะครับ สำหรับอเมริกันเขาจะให้สระอีเหมือนตัว c เลย ถ้าเราออกเสียง -ซ- ไม่เป็นก็ฟังไม่รู้เลยว่าเป็น c หรือ z
- sue -สู- คำกริยา แปลว่า ฟ้องศาล
- zoo -ซู- สวนสัตว์
- center -[เส่น]-เตอระ-
- zipper -[ซิป]-เปอระ- ที่เราเรียก ซิป มาจากคำนี้ ถ้า zip เฉย ๆ เป็นคำกริยา แปลว่ารูดซิป หรือเป็นคำนาม แปลว่าศูนย์ (ไม่มีอะไร) ก็ได้
- sea -สี-
- zebra -[ซี]-บรา-
- zone -โซน-
- soon -สูน-
- zoom -ซูม-
เวลาออกเสียง -ซ- มันจะฝืน ๆ หน่อย เป็นธรรมดาเพราะภาษาเราไม่มี แต่ฝึก ๆ ไปก็จะทำได้เอง โชคดีที่คำที่ขึ้นต้นด้วย z มีไม่มากเท่าไร ตอนหน้าเรามาพูดต่อ ตอนเสียงซ่าอยู่ที่กลางคำ และท้ายคำนะครับ ซึ่งคราวนี้โชคจะไม่ค่อยดีเท่าไร
เสียง s และ z เมื่ออยู่ภายในคำ
เวลาเสียงซ่าอยู่ที่พยางค์แรกของคำ รูปมักจะตรงกับเสียง แต่ว่าเวลาอยู่ที่พยางค์อื่น หรือเป็นเสียงลงท้ายนี่สิ มีหลายคำที่สะกดด้วยตัว s แต่ดันออกเสียงเป็นตัว z เรื่องนี้ทำให้เป็นปัญหาสำหรับคนไทยเรา เพราะ เราเติบโตมาจากการเรียนคำศัพท์ จำตัวสะกด แล้วมาเรียนเสียงกันทีหลัง ดังนั้น ถ้าบางตัวออกเสียง s บางตัวเสียง z และสองเสียงนี้มันก็ไม่ต่างกันมากนัก ถ้าเราไม่ได้รู้ และฝึกฝนคำนั้น ๆ มาก่อนอย่างช่ำชอง ก็จะทำให้เป็นปัญหาพูดได้ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เรื่องนี้ผมไม่แนะนำให้ไปท่องจำให้เหนื่อย ให้ทำความรู้จักกับมันไว้ก่อนว่าเสียงเป็นอย่างไร หัดไปบ้างเป็นบางตัวที่ใช้ประจำ แล้วก็ค่อย ๆ ฝึกเพิ่มไปเวลาเราได้ยินคำใหม่ ๆ เวลาเอาไปใช้ ถ้าพูดถูกบ้าง ผิดบ้าง ก็พออนุโลมว่า เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของภาษาอังกฤษแบบสำเนียงไทย ไม่ต้องไปเครียดนัก ถ้าเราพูดตะกุกตะกัก ไม่มั่นใจ หรือ มัวไม่นั่งคิดว่ามันเป็นเสียงอะไร มันจะส่งผลเสียมากกว่า
การพูดเสียง z หรือ -ซ- ผิดกลายเป็นเสียง s หรือ -ส- นั้นไม่ถึงกับส่งผลเสียทำให้ฟังกันไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะเวลาเสียงนี้ซ่อนอยู่ภายในคำ เช่น คำว่า easy ออกสียงว่า -[อี]-ซี- เวลาพูดให้พยายามเน้นเสียงคอหนักหน่อยตั้งแต่ปลายพยางค์ -อี- แล้วเสียงคอก็จะกล้ำเข้ามาเป็นเสียงคอสั่นของพยางค์ -ซี- ถ้ารู้สึกยากก็ลองลดเสียงคอลงหน่อยก็ได้ เอาพอให้ได้ยินก็ใช้ได้ ที่สำคัญ คือให้มันสบาย ๆ ไม่ต้องเกร็ง (ให้เหมือนความหมายของคำ ๆ นี้ที่แปลว่า ง่าย ฮิ ฮิ) ที่นี้ถ้าเราออกเสียงผิดเป็น -[อี]-สี- มันก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนัก เขาฟังออกว่าเราพูดไม่ชัด แต่ไม่ถึงกับฟังไม่รู้เรื่อง ฝรั่งเหมือนกันเวลาพูดเร็ว ๆ บางทีก็ฟังคลุมเคลือเหมือนกัน บางคำก็ออกเสียงได้ทั้งสองแบบ แล้วแต่สำเนียงท้องถิ่น ลองดูตัวอย่างเพิ่มนะครับ
- busy -[บี]-ซี-
- fussy -[ฟัส]-สี- คำนี้ออกเสียง -ส- ธรรมดา เป็นคำคุณศัพท์แปลว่า หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย
- fuzzy -[ฟัซ]-ซี- เป็นคำคุณศัพท์แปลว่า คลุมเคลือ ไม่ชัดเจน ลองเทียบกับคำว่า fussy ดูซึ่งเป็นเสียงสระเดียวกันเป๊ะ
- exact -เอ็ก-[แซก]- exactly -เอ็ก-[แซก]-ลี-
- reason -[รี]-เซ็น-
- Jason -[เจ]-เส็น-
- result -ริ-[ซัลท]-
- receive -ริ-[สีฯ]-
- pizza -[พีท]-ส่า- คำนี้รูปเป็นตัว z แต่ดังเป็นเสียง s
- present เป็นกริยาออกเสียงว่า -พริ-[เซน]- เป็นคำนาม ออกเสียงว่า -[เพร]-เซน-
เสียง s และ z ลงท้าย
สำหรับเสียง -ส- กับ -ซ- ที่เป็นเสียงลงท้ายคำ เสียง -ซ- ลงท้ายนอกจากคอจะสั่นแล้ว ยังจะทำให้เสียงสระนั้นฟังดูยาวขึ้นครับ เราจะเห็นกันอยู่ตลอดเวลานะครับว่า เสียงพยัญชนะที่เป็นเสียงก้อง เช่น v หรือ z (และตัวอื่น ๆ ที่ยังไม่พูดถึง) เมื่อลงท้ายคำต่อกับเสียงสระ ก็จะทำให้คำนั้นยาวกว่าแบบไม่ก้อง ลองดูตัวอย่าง และเปรียบเทียบคำที่ลงท้ายด้วย -ส- กับ -ซ- กันดู สังเกตว่ารูปไม่ตรงกับเสียงเสมอไป
- this -[ดิส]- these -[ดีซ]-
- bus -[บัส]- buzz -[บัซ]-
- race -[เรส]- แปลว่า วิ่งแข่ง raise -[เรซ]- แปลว่า ยกขึ้น
- loose -[ลูส]- แปลว่า หลวม lose -[ลูซ]- แปลว่า ทำหาย หรือ พ่ายแพ้
- amaze -อะ-[เมซ]- amazing -อะ-[เมซ]-ซิง-
- exercise -[[เอ็ก]]-เสอ-[ไสซ]- คำนี้สนุกหน่อยมีสอง -ส- แต่ลงท้ายด้วย -ซ-
สำหรับเสียง -ส- กับ -ซ- ที่เป็นเสียงลงท้ายคำ ความแตกต่างไม่เด่นเหมือนตอนเป็นเสียงต้น และความสำคัญก็ไม่เท่า ถ้าพูดผิด -ซ- กลายเป็น -ส- ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เป็น ไม่ใช่แค่สำเนียงไทย ก็ไม่ถึงกับทำให้ผิดความหมายไป ใครทำได้ก็ทำนะครับ ใครทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เอาให้เป็นเสียงซ่าก็ถึอว่าใช้ได้ ผู้หญิงส่วนมากก็จะออกเสียงคอได้ไม่ชัดเท่ากับผู้ชาย ดังนั้นจะทำเสียง -ซ- ไม่ชัดเท่า อันนี้เป็นเรื่องปกติ
มีคำหลายคำที่เป็นคำประกอบ พบเห็นอยู่เป็นประจำ เช่น is was has does as because คำพวกนี้จริง ๆ แล้วลงท้ายด้วยเสียง -ซ- ถึงแม้มีรูปเป็นตัว s ก็ตาม ก็ขอแนะนำว่า ลองไปฟัง และฝึกดูตามอัธยาศัย แต่เช่นเดียวกันว่า ไม่ต้องเครียดอะไร ทำได้บ้างไม่ได้บ้างไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้อสังเกตอีกอย่างคือ เวลาคำเหล่านี้ไม่เป็นคำที่เน้นในประโยค เสียง -ซ- ก็จะฟังเหมือน -ส- เราไปเน้นพูดเน้นชัด ๆ กลับจะทำให้ผิดปกติไป (บทที่ 18 ผมจะพูดเรื่องการเน้นคำในประโยคโดยละเอียดอีกที) ตัวอย่างของประโยค เช่น
- He is coming soon. -ฮี-อีซ- … หรือ He’s coming soon. -ฮีซ- … ประโยคนี้ is เป็นกริยาช่วย เวลาพูดก็ไม่เน้นมากนัก เสียง -ซ- บางครั้งก็อาจจะไม่ชัดมาก
- What we want is that … ประโยคนี้ is เป็นกริยาหลัก เสียง -ซ- ก็มักจะได้ยินชัดมากกว่า บางครั้งผมก็ได้ยินคนพูดเหมือนเพิ่มอีกหนึ่งพยางค์เลย เป็น -[อี]-ซึ- ถ้าเขาพูดยาน ๆ หน่อยตรง is
เสียงจากการเติม s หรือ es ลงท้าย
ตอนนี้ใช้ความรู้จากตอนอื่น ๆ ด้วยนะครับ ก็ขอแนะนำว่า ถ้างงก็ไปอ่านตอนอื่นก่อนแล้วกลับมาอ่านตอนนี้ใหม่ก็ได้
สำหรับการเติมอักษร s ข้างหลังคำนั้น ก็ปรากฎอยู่ในไวยกรณ์ภาษาอังกฤษพอสมควร ได้แก่
- เมื่อคำนามเป็นพหูพจน์ เช่น I have two dogs.
- เมื่อคำกริยาใช้กับประธานเอกพจน์บุคคลที่สาม เช่น He works hard.
- เมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น John’s car หรือ world’s tallest building
วิธีออกเสียงถ้าเสียงลงท้ายเป็นเสียง s, z, ch, sh, j ก็ให้เติม es แล้วออกเสียงเพิ่มอีกหนึ่งพยางค์เป็น -อึซ- หรือ -อืซ- ตัวอย่างเช่น
- buses -[บัส]-สึซ-
- taxes -[แทค]-สึซ-
- raises -[เร]-ซึซ-
- touches -[ทัช]-ชึซ-
- pushes -[พุฉ]-ฉึซ-
- judges -[จัด]-จึซ- คำนี้ลงด้วย ge แต่เป็นเสียง j นะครับ ก็เลยต้องออกอีกพยางค์
ถ้าลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะอื่น หรือเสียงสระ ก็จะไม่ออกเสียงเพิ่มพยางค์ แต่ให้เติมเสียงซ่าลงท้ายไปเฉย ๆ ตามตำราแล้วเขาบอกว่า ถ้าเป็นคำที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะเสียงไม่ก้อง ได้แก่ f, k, p, t, th ก็ให้เติมเสียง -ส- เข้าไป แต่ถ้าลงท้ายด้วยตัวอื่น ก็ให้เติมเสียง -ซ- แทน ในทางปฏิบัติ ผมแนะนำว่า ไม่ต้องไปเครียด หรือไปจำให้ปวดหัว ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ แล้วก็ทำเป็นเสียง -ส- ไป เวลาเสียงลงท้ายเป็นเสียงก้อง ถ้าเราทำได้ถูกต้อง คอมันก็จะสั่นอยู่แล้วตอนปลายเสียง เวลาเติมเสียงซ่าต่อท้าย ก็จะกล้ำออกเป็น -ซ- อยู่นิดหน่อย แล้วก็เปลี่ยนเป็น -ส- ตอนท้าย ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ก็พูดประมาณนี้ ถ้าเป็นแบบสำเนียงไทยจะพูดเป็น -ส- เลยก็ได้ ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะฉะนั้น ก็เอาเป็นว่า ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะพูดถูกหรือไม่ ให้มีเสียงซ่าออกมาตอนท้ายเป็นใช้ได้
ลองมาดูตัวอย่างสักคำ ใครทำได้ก็ให้ลองดูนะครับ ใครไม่ได้ก็ให้อ่านผ่าน ๆ ไป เช่น kit -คิท- ถ้าไม่เติม s เราจะออกเป็น ทึอ ตอนท้ายเป็นเสียงลมเฉย ๆ พอได้ยิน พอเติม s เป็น kits -คิทส- ให้ทำปากตอนท้ายเหมือนจะทำเสียง -ท- แต่ไม่ต้องออกทึอ แต่ให้ออกเป็นเสียงซ่าแทน ก็เหมือนเราพูดด้วยตัวสะกดแม่กดแบบไทย ๆ นี่แหละแล้วก็ใสเสียงซ่าตามหลังเข้าไป สำหรับ kid -คิด- เสียงจะยาวและลุ่มลึกกว่า ตอนท้ายก็เอื้อนเป็นเสียงคราง เดอะ พอได้ยิน (มาจากบทที่ 9) พอเติม s เข้าไปเป็น kids -คิดซ- หรือ -คิดส- ก็ไม่ต้องครางเสียง เดอะ แต่ให้เอื้อนเป็นเสียงซ่าแทน ตอนต้นก็จะกล้ำเป็น -ซ- อยู่หน่อย แล้วก็เปลี่ยนเป็น -ส- ตอนท้าย จะเห็นได้ว่า ข้อสำคัญจริง ๆ อยู่ที่การออกเสียง kit หรือ kid ให้ถูกต้องต่างหาก ส่วนเสียง s ก็ปล่อยไปตามสบาย ๆ
- kits -คิทส-
- kids -คิดซ-
- rips -ริพส-
- ribs -ริบซ-
S ที่ไม่ออกเสียง (Silent S)
ศัพท์บางตัวมีเสียง s แต่ไม่ออกเสียงนะครับ เช่น
- island -[ไอ]-แลนด-
- debris -ดิ-[บรี]- ซากปรักหักพัง
- aisle -ไอล- หรือถ้าพูดยาน ๆ หน่อยก็ -[ไอ]-อล- หมายถึง ช่องทางเดินแคบ ๆ เช่น ทางเดินในเครื่องบิน รถทัวร์ ทางเดินระหว่างตู้หนังสือในห้องสมุด หรือ ทางเดินระหว่างชั้นวางของในซุปเปอร์มาเกต
» ไปบทถัดไป 8. เสียง ch และ sh » กลับไปที่ สารบัญ