2. ภาษาอังกฤษสำเนียงไทยที่ถูกต้องเป็นยังไง

ทุกคนคงคุ้นเคยกับคำว่าสำเนียงกันดี  ภาษาไทยเราก็มีสำเนียงต่าง ๆ คนมาจากที่ต่างท้องถิ่นก็มีสำเนียงไม่เหมือนกัน คำที่ใช้บางครั้งก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องปกติของภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน  ผมขอจำกัดความ ความหมายของสำเนียง ว่าเป็นการพูดคำ ๆ เดียวกัน หรือประโยคเดียวกัน แต่ออกเสียงไม่เหมือนกัน หรือมีท่วงทำนองแตกต่างกันนะครับ  ส่วนการใช้คำที่ต่างกัน หรือคำเดียวกันแต่มีความหมายไม่เหมือนกันแล้วแต่ท้องที่  เรายังไม่พูดถึงในที่นี้

ภาษาอังกฤษนั้นเนื่องจากมีคนพูดทั่วโลก มันก็มีสำเนียงหลากหลายเต็มไปหมด ผมขอแบ่งเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1)    คนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ (native speaker) ได้แก่ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และอื่น ๆ

2)    คนที่ใช้เป็นภาษาที่สอง ซึ่งหมายถึงประเทศที่รัฐบาล หรือสังคมกำหนดให้มีการใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย บางประเทศถึงกับตั้งให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ หรือ ภาษาในมหาวิทยาลัยก็มี  ปัญญาชนในประเทศเหล่านี้ก็มักจะพูดได้ไม่มีปัญหา  คนการศึกษาต่ำ หรือคนแก่อาจพูดไม่ได้ แต่คนจบมัธยมส่วนใหญ่จะพูดได้  ประเทศเหล่านี้ ได้แก่ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ คนยุโรปส่วนใหญ่ อินเดีย ฮ่องกง ปากีสถาน ศรีลังกา แอฟริกาใต้ ไนจีเรีย และอื่น ๆ

3)    คนต่างชาติอื่น ๆ ที่พยายามเรียนภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้มีระบบ หรือวัฒนธรรมในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษารอง บางประเทศก็มีสอนเป็นวิชาบังคับในโรงเรียน บางประเทศก็ไม่เป็นวิชาบังคับ กลุ่มนี้ว่ากันง่าย ๆ คือ เป็นกลุ่มที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยรู้เรื่อง เช่น ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ลาว กัมพูชา แอฟริกาส่วนใหญ่ เมกซิโก และอเมริกาใต้ส่วนใหญ่  ประเทศในกลุ่มนี้ก็กำลังพยายามยกระดับตัวเองให้ไปอยู่ในกลุ่มที่สอง คนรุ่นใหม่ หรือคนการศึกษาดี ๆ ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีก็เริ่มมีมากขึ้น ๆ

คนจากแต่ละที่ก็มักจะมีสำเนียงที่แตกต่างกัน ไม่มากก็น้อย  แม้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็มีหลายสำเนียง สำเนียงอเมริกันมาตรฐาน ก็ประมาณว่าเป็นสำเนียงในแถบภาคกลางตอนเหนือของอเมริกา หรือ Midwestern accent  ซึ่งเป็นสำเนียงที่เราได้ยินจากสำนักข่าวดัง ๆ ของอเมริกัน เช่น CNN เป็นต้น คนที่เป็นเจ้าของภาษาเขามักจะฟังออกถึงความแตกต่างของสำเนียงที่ละเอียดอ่อน แต่สำหรับเราก็จะฟังออกเมื่อมันต่างกันมากหน่อย เช่น สำเนียงอเมริกันแบบลูกทุ่งทางใต้ สำเนียงคนดำ และสำเนียงอังกฤษ ก็ฟังแตกต่างจากสำเนียงอเมริกันมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด

สำเนียงที่ต่างกันก็ไม่ใช่เฉพาะแค่ท่วงทำนองต่างกันเท่านั้น หลาย ๆ คำก็มีการออกเสียงที่ผิดเพี้ยนต่างกัน  ใครจะหาว่า สำเนียงไหนพูดไม่ชัด มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องนัก  เพราะถ้าคนส่วนใหญ่ทั่วโลกฟังแล้วเข้าใจ ก็แสดงว่าไม่ใช่การพูดไม่ชัด แต่กลับกลายเป็นเอกลักษณ์ของสำเนียงนั้น ๆ ไป  ยกตัวอย่างเช่น  คนอเมริกันจะออกเสียงพยางค์ของคำหลาย ๆ คำเป็นสระแอ แต่คนอังกฤษเป็นสระอา เช่น demand อเมริกันจะออกเสียงว่า “ดีแมน” แต่อังกฤษออกเสียงว่า “ดีมาน” คนทั่วโลกก็ฟังกันออกทั้งสองแบบครับ เพราะสำเนียงทั้งสองมีใช้กันอย่างแพร่หลาย   ตัวอย่างอีกอันหนึ่ง คือ คนอินเดีย มักออกเสียง k กล้ำระหว่าง “ก” กับ “ค” เช่น cat ออกเสียงฟังคล้าย ๆ แก๊ท แทนที่จะเป็น แค๊ท   ตัว t เขาก็ออกเสียงคล้าย ๆ เสียง “ต” แทนที่จะเป็นเสียง “ท”  และตัว p ก็ออกเสียงคล้ายเสียง “ป” แทนที่จะเป็นเสียง “พ”   คนส่วนใหญ่ก็มักฟังออกเพราะ สำเนียงอินเดียก็มีการใช้อย่างแพร่หลายเช่นกัน คนอินเดียมีอยู่ทั่วโลกครับ และบริษัทอเมริกันหลายบริษัทก็ไปจ้างให้คนอินเดียทำงานให้ ถึงขนาดจ้างให้เป็นพนักงานตอบโทรศัพท์สำหรับลูกค้าในอเมริกาก็มีเยอะ

เอ้า พูดเยิ่นย้อมานาน ก็เพื่อสร้างประเด็นให้เห็นว่า การพูดผิดเพี้ยนไปบ้าง ก็ไม่ใช่ข้อเสีย หรือข้อน่าอับอายอะไร กลับเป็นเอกลักษณ์ของสำเนียงเสียด้วยซ้ำ เป็นสิ่งที่ควรภูมิใจ มากกว่าอับอาย ข้อสำคัญอยู่ที่การสื่อสารที่เข้าใจกัน   ย้อนมาพูดถึงคนไทยบ้าง (รวมถึงคนในกลุ่มที่สามด้วย) คนไทยส่วนใหญ่พูดสำเนียงที่ผมเรียกว่า สำเนียงไทยแท้  หรือสำเนียงตามใจฉัน  ก็เนื่องจากเราไม่มีต้นแบบมาตั้งแต่เด็ก ตามโรงเรียนสอนเน้นแต่ไวยกรณ์ และศัพท์  ครูก็ไม่ได้สอนเป็นภาษาอังกฤษในชั้น พอโตขึ้นมาก็ตัวใครตัวมัน พูดกันแบบไม่ได้สนใจว่า จริง ๆ แล้วต้องออกเสียงอย่างไร  มันก็กลายเป็นสำเนียงไทยแท้อย่างที่เห็นกัน ฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง  สำเนียงไทยที่ถูกต้องที่ผมจะนำเสนอต่อไป ก็คือ การที่เราออกเสียงหลัก ๆ ได้ถูกต้อง  เสียงที่หัดได้ง่าย และไม่ขัดต่อความรู้สึกไทย ๆ นักก็ควรจะหัดกันให้ได้  แต่เสียงในรายละเอียดที่ทำได้ยากที่ไม่มีผลต่อการสื่อสารมากนัก ก็ไม่เป็นไร ทำผิดบ้างถูกบ้าง ช่างมัน  (ใครที่เก่งจริง ๆ อยากจะทำพยายามทำที่ยาก ๆ ให้ได้ก็ลองดู) เท่านี้แหละครับ เราก็จะได้ภาษาอังกฤษสำเนียงไทยที่ถูกต้อง หนังสือเล่มนี้ก็จะมาแนะนำตรงนี้ว่าอะไรสำคัญที่คุณควรทำได้ และอะไรเป็นรายละเอียด ไม่จำเป็นต้องทำ

แล้วสำเนียงอเมริกันเ กับสำเนียงอังกฤษ เราจะใช้แบบไหนเป็นต้นแบบดี  คำตอบก็คือ แบบไหนก็ได้  อย่างที่ว่า ทั้งสองแบบคนทั่วไปฟังรู้เรื่องเหมือนกัน  เนื่องจากผมคุ้นเคยกับสำเนียงอเมริกัน หนังสือนี้ก็จะตามแบบอเมริกันเป็นหลักนะครับ ถ้าผมรู้ว่าอังกฤษเขาพูดไม่เหมือนอย่างไรก็จะบอก แต่บางทีผมก็ไม่รู้   ขอแทรกความรู้สึกส่วนตัวหน่อยว่า สำเนียงอเมริกันจริง ๆ แล้ว ผมว่าปรับเข้ากับสำเนียงไทยได้ดีกว่า เพราะฉะนั้น คนไทยน่าจะหัดได้ดีกว่า  แต่อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว จะว่าลำเอียงก็คงไม่ผิด  แต่ข้อเสียของสำเนียงอเมริกันเมื่อเทียบกับสำเนียงอังกฤษก็คือมีการลดรูปเสียงเยอะกว่า  คนที่ไม่คุ้นเคยก็จะมองว่า คนอเมริกันพูดเร็ว ฟังยากกว่า ซึ่งมันก็จริง สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย  หนังสือเล่มนี้ก็จะมาช่วยแนะนำในส่วนนี้ด้วยว่า สำเนียงอเมริกันมีการลดรูปเสียงอะไรอยู่บ้าง

เมื่อเราพยายามหัดพูดให้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากขึ้น คนส่วนใหญ่ที่มาหัดตอนโตแล้ว พูดคล่องยังไงก็ยังติดสำเนียงไทยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แล้วแต่ความสามารถ และพรสวรรค์ส่วนบุคคล  ผมก็เคยเข้าใจผิดว่า คนที่ไปอยู่เมืองนอกนาน ๆ เขาจะพูดได้สำเนียงเหมือนฝรั่ง 100%  ก็เป็นความเข้าใจที่ผิดครับ ต้องมีความพยายามจริง ๆ หรือมีพรสวรรค์จริง ๆ ถึงจะทำได้  คนส่วนใหญ่ที่ไปตอนโตแล้วทำไม่ได้ ซึ่งก็อย่างที่บอกว่า ไม่ใช่เป็นข้อเสียหายอะไร  คุณจะหาตัวอย่างคนไทยที่พูดได้ดีมากมายใน Youtube เช่น คุณอานันท์ ปัญญารชุน  หรือ คุณมีชัย วีรไวทยะ หรือ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  หรือ สำเนียงที่ผมพูดให้ฟัง  ซึ่งก็สามารถใช้สำเนียงเหล่านี้เป็นต้นแบบก็ได้  ถึงแม้คนเหล่านี้จะมีข้อได้เปรียบที่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกนาน  ก็อย่าได้ท้อใจว่าถ้าเราไม่ได้ไปแล้ว เราจะทำไม่ได้ ผมว่าถ้าสมัยยี่สิบปีก่อนก็อาจจะทำยาก แต่สมัยโลกาภิวัฒน์นี้อยู่เมืองที่ไหนก็หัดพูดภาษาอังกฤษได้สบาย ๆ ขอให้มีความตั้งใจ และความพยายามเท่านั้นครับ

» ไปบทถัดไป 3. องค์ประกอบของการออกเสียงในภาษาอังกฤษ    » กลับไปที่ สารบัญ

Updated: 25 มีนาคม 2014

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

five × one =

Copyright © 2013-2024 betterenglishforthai.net