บทก่อนเราพูดถึงรูปประโยคแบบปัจจุบันกาล 4 แบบ หลักการของทั้งสี่แบบนั้น เราก็จะเห็นต่อไปว่า นำไปใช้ประยุกต์กับรูปประโยคอดีต หรืออนาคตได้ เรียกว่าแทบไม่ต้องจำอะไรเพิ่มเลยนะครับ ดังนั้น ขอสรุปทบทวน ตรงนี้ก่อน เพื่อเชื่อมต่อเข้าสู่บทนี้ ผมจะเขียนโดยใช้กริยา to do ก็แล้วกัน แทนที่จะใช้ V1, V2, V3 ก็ใช้ do, did, done แทน มองดูจะได้เหมือนภาษาคนมากกว่าภาษาคณิตศาสตร์ เวลาเอาไปใช้เราก็เปลี่ยนเป็นกริยาอื่นตามเรื่อง
- Present Simple: does/do = ทำ
- Present Continuous: is/am/are + doing = กำลังทำ หรือ ทำอยู่
- Present Perfect: has/have + done = ทำแล้ว
- Present Perfect Continuous: has/have + been + doing = ทำมาอยู่
โดยแบบที่สองก็เป็นการเน้นการกระทำของแบบที่หนึ่ง และแบบที่สี่ก็เป็นการเน้นการกระทำ และความต่อเนื่องของแบบที่สาม อันนี้ว่าไปแล้วก็คล้าย ๆ ภาษาไทยเหมือนกัน
ในแบบปัจจุบันกาล เราพอใส่คำแปลไทยสั้น ๆ ลงไปได้ ซึ่งความหมายใกล้เคียง อันนี้ เพื่อเป็นเครื่องช่วยจำ หรือช่วยให้เข้าใจสำหรับผู้เรียนมือใหม่ หลังจากเข้าใจแล้วคุณก็ควรพัฒนาให้เกิดสัมผัส ให้เกิดความรู้สึก โดยไม่ต้องแปลเป็นไทย เพราะพอไปเป็นอดีต และอนาคนแล้ว บางรูปมันแปลไม่ค่อยได้ แต่ในความรู้สึกของความหมายนั้น ก็ยังคงหลักการเดียวกัน
แนะนำตัวละคร
บทนี้มาดูการประยุกต์ใช้รูปประโยคทั้งสี่ในอดีตกาล ซึ่งรูปแบบไวยกรณ์เป็นดังนี้
- Past Simple: did
- Past Continuous: was/were + doing
- Past Perfect: had + done
- Past Perfect Continuous: had been + doing
อดีตแบบทั่ว ๆ ไป
พูดถึงเหตุการณ์อดีตทั่ว ๆ ไป หรือ บอกลักษณะอาการของใคร อะไร ในอดีต เราใช้ Past Simple เช่น
- The stock market went down yesterday. เมื่อวานหุ้นตก
- I walked to work yesterday. ฉันเดินไปทำงานเมื่อวาน
- I worked at Silom last year. ฉันทำงานที่สีลมปีก่อน
- He was a good man. ประโยคนี้มีน่าสนใจ มีความหมายได้สองแบบ หนึ่ง คือ เขาเคยเป็นคนดี (เดี๋ยวนี้ไม่ดีแล้ว) สอง คือ เป็นการพูดถึงคนที่ตายไปแล้ว ว่าเขาเป็นคนดี
ขอขยายความประโยคสุดท้ายอีกหน่อย เป็นตัวอย่างหนึ่งของการที่ภาษาอังกฤษมีความละเอียดอ่อนของอดีตกาลมากกว่าไทย เวลาพูดถึงคนที่ตามไปแล้ว เขาใช้รูปอดีตทั้งหมด ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นคนดี ก็ He was a good man. ไม่จำเป็นต้องเป็นคนตายอย่างเดียว เช่น คนที่ทำงานที่เดียวกัน แต่ตอนนี้ลาออกไปทำที่อื่นแล้ว ถ้าเราจะบอกว่าเขาเป็นคนทำงานดี ก็ He was a good worker. ในสถานการณ์นี้ผู้พูดหมายถึง อดีตตอนที่รู้จักเขา ไม่ได้ชี้ว่าเดี๋ยวนี้เขาทำงานไม่ดี
He was a good worker. จะหมายความว่า เขาเคยทำงานดีก็ได้ ถ้าเรายังทำงานกับเขาอยู่ ก็แล้วแต่สถานการณ์ที้ ทีนี้ถ้าจะเอาให้ชัด อีกสำนวนหนึ่งก็คือ He used to be a good worker. นี่แปลตรงกับไทยเลยว่า เขาเคยทำงานดี เดี๋ยวนี้ไม่ดีแล้ว
Used to do นั้น เป็นสำนวนใช้บอกลักษณะ หรืออาการ หรือนิสัยในอดีต แต่ไม่ใช้บอกเหตุการณ์ในอดีตนะครับ อันนี้บางคนใช้ผิดเพราะไปแปลว่า เคย คนไทยเราใช้คำว่า เคย ได้ทั้งสองความหมาย แต่ used to do ใช้ได้ในความหมายเดียว เช่น
- I used to go there often. ฉันเคยไปที่นั่นบ่อย ๆ (เดี๋ยวนี้ไม่ได้ไปบ่อยแล้ว) อันนี้เป็นการบอกลักษณะอาการ ถ้า I used to go there. ฉันเคยไปที่นั้น แบบไป ๆ มา ๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ไปแล้ว ต่างกันชัดเจนกับประโยคต่อไปนี้
- I have been there. ฉันไปที่นั่นมาแล้ว หรือ ฉันเคยไปที่นั่นมาแล้ว (จำได้ไหมครับ Present Perfect) อันนี้บอกเหตุการณ์ว่า ไปมาแล้ว เช่น เคยไปเที่ยวที่ไหนมาแล้ว เป็นต้น เราไม่ใช้ used to go
มีตัวอย่างอีกเยอะครับ ขอให้ลองไปสังเกตดู และผมเคยเขียนบทความเรื่อง I thought อ่านได้ที่นี่
อดีตแบบเน้นการกระทำ หรือเน้นว่าตอนนั้น
เวลาเราพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต โดยอธิบายว่ากำลังเกิดขึ้นตอนนั้น ก็ควรใช้ Past Continuous เช่น
- It was raining when he arrived. ฝนตกอยู่ตอนเขามาถึง
- It was raining at 1 o’clock last night. ตอนตีหนึ่งฝนตกอยู่
สังเกตว่าประโยคข้างต้นนั้น มีจุดเวลาที่ชี้เฉพาะ นี่คือความรู้สึกของผู้พูด หรือผู้เขียนครับว่า ณ เวลานั้น ๆ มีอะไรเกิดขึ้น ก็นิยมใช้ Past Continuous ถ้าจุดเวลานั้นไม่ค่อยชี้ชัด ก็จะใช้ Past Simple หรือ Past Continuous ก็ได้ แล้วแต่ความรู้สึกว่า จะเน้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน เช่น It was raining last night. กับ It rained last night. ก็ใช้ได้ทั้งคู่ อีกตัวอย่างที่ได้ยินบ่อย เช่น
- I was thinking about something last night. ก็เหมือนกับ I thought about something last night. เราจะบอกใครว่าคิดถึงเรื่องอะไรเมื่อคืน ให้ความรู้สึกต่างกันนิดหน่อยว่า was thinking นี้เหมือนมีอะไรที่ต้องขบคิดนานหน่อย คิดไป คิดมา
เวลาเราเล่าเรื่องที่ คนไทยมักใช้คำว่า “ตอน” ก็เหมือนกัน เช่น เมื่อวานตอนอ่านหนังสือ ตอนเดินไปโรงเรียน ตอนกินข้าว พวกนี้ก็ควรใช้ Past Continuous เช่น
- I met her when I was walking to school. ฉันเจอเขาตอนเดินไปโรงเรียน
- I was reading a book last night and … ตอนอ่านหนังสืออยู่เมื่อคืน โดยทั่วไปก็ต้องเล่าต่อนะครับว่า แล้วเป็นไง เกิดอะไรขึ้น
อดีตที่ก่อนอดีต
ทีนี้ Past Perfect กับ Past Perfect Continuous เป็นอย่างไร “ทำแล้ว” กับ “ทำมาอยู่” ในอดีตเป็นอย่างไร ข้อนี้เริ่มเป็นความละเอียดอ่อนของการใช้ภาษาบอกเวลาที่ภาษาไทยเราไม่มี เช่น เราจะเล่าว่าเกิดอุบัติเหตุ แล้วรถที่เกิดอุบัติเหตุเป็นรถที่ถูกขโมยมา เหตุการณ์อุบัติเหตุนั้นเป็นอดีตที่จุดหนึ่งอยู่แล้ว เหตุการณ์ว่าคนขับไปขโมยรถคนอื่นมาก็เป็นเหตุการณ์ก่อนอดีตจุดนั้น แล้วเสร็จที่จุดนั้น อย่างนี้ก็ใช้ Past Perfect
- He had stolen the car and then crashed it into a tree. เขาไปขโมยรถมา แล้วก็ขับไปชนต้นไม้
ถ้าเราจะอธิบายต่อถึงนายคนนี้ ว่าก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา ก็ใช้เป็นรูปอดีตทั้งหมด จะเป็น Tense ไหน ก็แล้วแต่เนื้อเรื่องที่จะเล่านะครับ กล่าวคือ Past Simple ก็ทั่ว ๆ ไป Past Continuous ก็เน้นว่าตอนนั้น Past Perfect ก็เน้นว่า เขาเคยทำอะไรไปแล้ว Past Perfect Continuous ก็เน้นว่า เขาได้ไปทำอะไรมาต่อเนื่องมาจนถึงจุดที่ถูกจับได้ เช่น
- He had bought something at the store. เขาไปซื้อของอะไรมา
- He had grown up in a bad neighborhood. เขาโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี
- At the time he was living with his parents, … ตอนที่เขาอาศัยอยู่กับพ่อแม่นั้น
- He had been stealing many cars. เขาไปขโมยรถมาหลายคนแล้ว
- He had been living with his friend. เขาอาศัยอยู่กับเพื่อน
เราไม่ใช้ Present Perfect หรือ Present Perfect Continuous ก็เพราะ บทบาทของนายคนนี้สิ้นสุดไปแล้วในอดีต ไม่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน หรือเป็นอดีตที่ก่อนอดีตนั่นเอง
หนังสือนิยายส่วนใหญ่ก็มักจะเล่าเรื่องในอดีต ข่าวส่วนใหญ่ก็เล่าเหตุการณ์ในอดีต ถ้าคุณไปสังเกตดูก็จะเห็นว่ามี Past Perfect กับ Past Perfect Continuous ใช้อยู่เต็มไปหมด เราอ่านผ่าน ๆ บางทีก็ไม่ได้สนใจ ว่ามัน had หรือ has เพราะมันให้ความรู้สีกเหมือนกัน has done something กับ had done something ก็แปลเหมือนกันว่า ได้ทำอะไรไป ต่างกันแค่ว่า เป็นเรื่องที่มาสุดในปัจจุบัน หรือ เป็นเรื่องที่จบไปแล้วในอดีต
อดีตแบบจิตนาการ
เราคงเคยเรียนกันมาว่า would เป็นอดีตของ will มันหมายความว่าอะไรครับ ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับ would ไปหลายที เพราะ เห็นว่าการเข้าใจแบบนี้ เป็นความเข้าใจที่คับแคบ would มีที่ใช้ที่แพร่หลายมาก ไม่ใช่แค่ในอดีต แต่ใช้ได้ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ถ้าจะอธิบายให้ถูกต้องกว่านั้น ควรบอกว่า would เป็นจิตนาการของ will
ตอนนี้ลองมาดูในเรื่องอดีตก่อนว่าเป็นอย่างไร เช่น ยกตัวอย่างคนที่ตายแล้วอีกละกัน ถ้าเราจะบอกว่า สมัยเขาอยู่เขาจะชอบทำอะไรบางอย่าง เช่น
- He would help others whenever he had a chance. เขาจะช่วยคนอื่นเมื่อมีโอกาส
- He would get up early in the morning to go to the park. เขาจะตื่นเช้าแล้วไปที่สวนสาธารณะ
ถ้าคิดแบบฝรั่ง คุณจะเห็นว่าอาการช่วยผู้อื่น หรือตื่นเช้าข้างต้น ไม่ใช่การเล่าเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดโดยเฉพาะในอดีต (ซึ่งต้องใช้ Past Tense) แต่เป็นจิตนาการของพูด เพื่อใช้อธิบายนิสัยของคนคนนี้ ขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพอีกหน่อย
- He always woke up early in the morning to go to the park. เป็นการอธิบายนิสัยของเขา
- He woke up early one morning to go to the park. เป็นการเล่าเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์เดียว ที่เกิดขึ้นจริง
- He would get up early in the morning to go to the park. เป็นการอธิบายนิสัยของเขา โดยใช้จินตนาการ คือ ผู้พูดสร้างภาพเหตุการณ์สมมติขึ้นมาว่า เนี่ย เขามักจะตื่นเช้า แล้วก็ไปที่สวน มันสมมติก็เพราะว่า เขาไม่อยู่แล้ว เขาตายไปแล้ว
แบบที่หนึ่งกับแบบที่สาม ก็ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน ต่างกันที่วิธีพูด หรือเขียน แต่การที่เราทำความเข้าใจว่า would คือ จิตนาการของ will นี้จะเป็นรากฐานสำคัญของการใช้ would ในสถานการณ์อื่น ๆ ครับ ซึ่งผมจะได้กล่าวในบทต่อ ๆ ไป
» ไปบทถัดไป 3. รูปประโยคอนาคตกาล » กลับไปที่ สารบัญ