เสียง t กับ d เป็นคู่หูกันครับ และก็มีเรื่องน่าสนใจพอสมควร ข่าวดี คือ เสียง t เหมือนเสียง “ท” และเสียง d ก็เหมือนเสียง “ด” ในภาษาไทยเรา ไม่ต้องไปหัดเสียงใหม่อะไร ฝรั่งเขาสอนให้จับสองตัวนี้มาคู่กัน ก็เนื่องจาก มันทำปากเหมือนกัน คุณลองออกเสียง เทอะ กับ เดอะ ดูก็ได้ว่ารูปปากเราทำเหมือนกัน และเขาก็สอนว่าเสียง t เป็นเสียงไม่ก้อง (คอไม่สั่น) แต่เสียง d เป็นเสียงก้อง ลักษณะเดียวกันกับคู่ f กับ v หรือ s กับ z ที่เราพบมาในบทก่อน ๆ ผมก็แนะนำให้ฟังพอเข้าใจ ถ้าจำได้ก็ดี แต่ไม่ต้องไปคิดเรื่องนี้ตอนออกเสียง สิ่งที่สำคัญ คือวิธีออกเสียงตอนเสียงพวกนี้ผสมอยู่ในคำว่าเป็นอย่างไร
เวลาเสียง t หรือ d เป็นเสียงนำ (ไม่ใช่เสียงลงท้ายคำ) ก็ไม่มีพิสดารอะไร ออกเสียงกันแบบไทย ๆ ได้ตามปกติ เช่น
- tea -ที-
- do -ดู-
- today -ทู-[เด]-
- winter -[วิน]-เทอระ-
- wonder -[วัน]-เดอระ-
เสียง t และ d ลงท้าย
เริ่มมีเรื่องน่าสนใจเวลา t กับ d เป็นเสียงลงท้าย เช่น bat -แบท- หรือ -แบ็ท- กับ bad -แบด- สองคำนี้เสียงสระเดียวกัน แต่เมื่อลงท้ายด้วย t เสียงสระจะฟังดูสั้น และตอนท้ายก็ออกเสียง เทอะ เป็นเสียงลมออกมาเบา ๆ สำหรับ bad เสียงสระจะยาวกว่า ลุ่มลึกกว่า และตอนท้ายครางออกมาเป็น เดอะ เบา ๆ ตรงเสียงลม เทอะ หรือเสียงคราง เดอะ บางทีก็ฟังไม่ค่อยได้ยิน เพราะเป็นแค่ปลายเสียง หรือบางทีจะไม่ออกเลยก็ยังได้ แต่ความแตกต่างที่ควรจะสังเกตได้ชัด คือ ความสั้นยาวของคำ พอดีภาษาไทยมีตัวไม้ไต่คู้ ซึ่งบางทีก็สามารถใช้เขียนคำอ่านเพื่อเน้นให้เห็นว่าเป็นเสียงสั้นได้ แต่สระไทยบางตัวใส่ไม้ไต่คู้ไม่ลง ก็ขอให้เข้าใจว่า คำที่ลงท้ายด้วย d นั้นออกเสียงลุ่มลึก และยาวกว่า แต่คำที่ลงท้ายด้วย t นั้นเสียงสั้นกว่า ลองฟัง และออกเสียงตัวอย่างเหล่านี้ดูครับ
- got -ก็อท- god -กอด-
- not -น็อท- nod -นอด-
- cat -แค็ท- cad -แคด-
- bit -บิท- bid -บิด-
- cut -คัท- mud -มัด- หรือ ออกให้ยาวกลายเป็น -มาด- ไปก็ได้
- tent -เท็นท- tend -เทนด-
- bolt -โบลท- bold -โบลด-
- cart -คารท- card -คารด-
- foot -ฟุท- food -ฟูด-
อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกใช่ไหมครับ คือภาษาไทยเรา เสียงสระจะสั้น หรือยาวก็ขึ้นกับสระนั้น ๆ เช่น แค็บ กับ แคบ หรือ มัด กับ มาด แต่ภาษาอังกฤษนั้น เสียงสระสามารถเปลี่ยนเป็นยาวหรือสั้นได้ตามเสียงพยัญชนะที่ลงท้าย กล่าวคือ ถ้าเสียงลงท้ายเป็นเสียงก้อง เช่น v, d, b, หรือ g ก็จะทำให้เสียงสระยาวขึ้น ถ้าเป็นเสียงไม่ก้อง เช่น f, t, p, หรือ k ก็จะทำให้เสียงสระสั้น เรื่องนี้เราจะพูดซ้ำ และมีตัวอย่างอีกทีเมื่อกล่าวถึงพยัญชนะคู่อื่น ๆ นะครับ
เมื่อ t เพี้ยนกลายเป็น ต
ภาษาไทยมีสามเสียงที่คล้ายกัน คือ “ท” “ต” กับ “ด” ส่วนภาษาอังกฤษนั้นไม่มีนิยามเสียง -ต- อย่างเป็นทางการ แต่ฝรั่งก็พูดเสียง -ต- อยู่ในภาษาเขาเหมือนกันโดยที่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรู้ตัว ตัวอย่างแรก คือ เวลาเสียง t ตามหลัง s เช่น stop ออกเสียงว่า -สะ-[ต็อพ]- ไม่ใช่ -สะ-[ท็อพ]- แม้กระทั่งพจนานุกรมอังกฤษเองก็ยังเขียนบอกว่าเป็นเสียง -ท- เนื่องจากภาษาไทยเรามีเสียง -ต- เราจึงฟังออกว่าเขาออกเสียงเหมือน -ต- มากกว่า -ท- ในกรณีนี้ และคนไทยส่วนใหญ่ก็ออกเสียงถูกต้อง ผมก็ขอตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ให้ชัดเจนตรงนี้ ลองดูตัวอย่างเพิ่มเติมนะครับ
- star -สะ-[ตาร]-
- Steve -สะ-[ตีฯ]-
- rusty -[รัส]-ตี-
- Austin -[ออส]-ติน-
- faster -[แฟส]-เตอระ- หรือ -[ฟาส]-เตอระ-
- fantastic -แฟน-[แทส]-ติค-
นอกจากนี้ ถ้าพยางค์ที่มีเสียง t นำ เป็นพยางค์ที่ไม่เน้นในคำ เขาก็นิยมออกเสียง -ท- เพี้ยน -ต- ได้ โดยธรรมชาติแล้วเสียง -ต- พูดง่ายกว่า -ท- เนื่องจากเสียง -ท- มีการกระแทกลมมากกว่า เข้าใจว่านี่เป็นสาเหตุที่มาขอเสียงเพี้ยนนี้ คำหลายคำนี้คนไทยเราก็นิยมออกเป็นเสียง ต อยู่แล้ว ซึ่งก็ถือว่าถูกต้อง คือ จะออกสียงเป็น -ท- หรือ -ต- ก็ได้นะครับ หรือจะออกเสียงให้มันก้ำกึ่งระหว่าง -ท- กับ -ต- ได้ก็ยิ่งดี ขอย้ำอีกครั้งว่าต้องเป็นพยางค์ที่ไม่เน้นในคำนั้น ๆ เช่น
- actor -[แอค]-เตอระ- acting -[แอค]-ติง- acted -[แอค]-ติด-
- lifting -[ลิฟ]-ติง- lifted หรือ lift it ออกเสียงเหมือนกันว่า -[ลิฟ]-ติด-
- butter -[บัด]-เตอระ-
- little -[ลิด]-เติล-
- forty -[ฟอร]-ติ-
- party -[พาร]-ติ-
- eating -[อีด]-ติง-
- writing -[ไร]-ติง-
- water -[วอ]-เตอระ-
- data -[เด]-ตา- หรือ -[ดา]-ตา- หรือ -[แด]-ตา-
เมื่อ t เพี้ยนกลายเป็น ด (แบบอเมริกัน)
เสียง -ท- นอกจากเพี้ยนเป็น -ต- ได้แล้ว ยังเพี้ยนได้มากกว่านั้นกลายเป็น -ด- เลยก็ได้ ก่อนอื่นขออธิบายก่อนว่า ผมเข้าใจว่า อันนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสำเนียงอเมริกัน ซึ่งเราก็ไม่จำเป็นต้องไปพูดตามเขา ก็แล้วแต่ว่าคุณชอบแบบไหน ถ้าชอบก็ใช้ตามเขาได้ ถ้าไม่ชอบก็แค่เอาเป็นความรู้ไว้ เวลาฟังจะได้ไม่งง ในส่วนตัวเอง ผมก็ชินตามแบบอเมริกัน และก็รู้สึกทำให้มันออกเสียงง่ายขึ้นด้วย ถ้าจะว่าสำเนียงอเมริกันจะทำปากค่อนข้างจะขี้เกียจกว่าสำเนียงอื่นก็ว่าได้ครับ
เวลาเสียง t ตามหลังเสียงสระ หรือเสียง r และไม่เป็นพยางค์ที่เน้น คนอเมริกันมักออกเสียงเพี้ยนเป็นเสียง -ด- เช่น คำว่า better ออกเสียงเพี้ยนว่า -[เบ็ด]-เดอระ- ก็ได้ แทนที่จะเป็น -[เบ็ท]-เทอระ- หรือ -[เบ็ต]-เตอระ- ลองออกเสียงทั้งสองแบบเทียบกันดูนะ ครับ แม้กระทั้งเวลาที่เสียง t เป็นเสียงเชื่อมระหว่างคำ ก็สามารถเพี้ยนเป็นเสียง -ด- ได้เช่นกัน เช่น it is พูดติดกันเป็น -อิด-ดีซ- ลองดูตัวอย่างเพิ่มนะครับ ผมจะเขียนแค่คำอ่านที่เป็นตัว -ด- เท่านั้น ขอให้เข้าใจว่า คุณจะออกเสียงให้ชัดถ้อยชัดคำเป็น -ท- หรือ –ต- แทนที่ -ด- ในที่นี้ก็ได้ แล้วแต่ถนัด ข้อสำคัญคือ ไม่ต้องไปพยายามจำ ฟังให้ได้ยิน ฝึกให้ชิน แล้วก็พยายามพูดให้เป็นธรรมชาติไม่ตะกุกตะกัก
- butter -[บัด]-เดอระ-
- little -[ลิด]-เดิล-
- turtle -[เทร]-เดิล-
- forty -[ฟอร]-ดี-
- party -[พาร]-ดี-
- eating -[อีด]-ดิ้ง-
- writing -[ไร]-ดิ้ง-
- waiting -[เวด]-ดิ้ง- waited -[เวด]-ดิด-
- water -[วอ]-เดอระ-
- atom -[แอ]-ดัม-
- a lot of พอพูดติดกัน กลายเป็น -อะ-[ล็อด]-ดอฟ-
- not at all พอพูดติดกัน กลายเป็น -น็อด-แดด-ดอล-
เมื่อเสียง t หายไป
เสียง t นอกจากจะสามารถเพี้ยนเป็นเสียง -ต- กับ -ด- ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนก่อน ในบางกรณีก็เพี้ยนหายไปเลยก็มี ตอนนี้ก็จะพูดถึงสองกรณีที่พบเห็นกันโดยทั่วไป
กรณีที่หนึ่ง คือ กรณีที่เสียง t ลงท้ายด้วยเสียง n และไม่ใช่พยางค์ที่เน้น เช่น button ออกเสียงปกติว่า -[บัท]-เทิน- หรือ -[บัท]-เติน- หรือ -[บัท]-เดิน- แต่คนทั่วไปมักย่อกลายเป็น -[บัท]-อึน- คือ พยางค์หลังกลายเป็นเสียงขึ้นจมูกเฉย ๆ -อึน- ซึ่งเป็นรากเสียงของตัว n นั่นเอง กล่าวคือ ทั้งเสียง t และเสียงสระหายไปเลย เหลือแต่เสียงตัว n เฉย ๆ ลองดูตัวอย่างคำพวกนี้ เพิ่มนะครับ
- written -[ริท]-เทิน- ลดรูปเป็น -[ริท]-อึน-
- Britain -[บริท]-เทิน- ลดรูปเป็น -[บริท]-อึน-
- Clinton -[คลิน]-เทิน- ลดรูปเป็น -[คลินท]-อึน-
- Martin -[มาร]-เทิน- ลดรูปเป็น -[มาร]-อึน-
- mountain -[เม้า]-เทิน- ลดรูปเป็น -[เม้าท]-อึน-
- important -อิม-[พอร]-เทินท- ลดรูปเป็น -อิม-[พอร]-อึน-
- certain -[เสอร]-เทิน- ลดรูปเป็น -[เสอร]-อึน- certainly ก็กลายเป็น -[เสอร]-อึน-ลี-
สังเกตว่า บางคำเขียนคล้าย ๆ กับ certain เช่น contain แต่เนื่องจากคำนี้เน้นที่พยางค์หลัง จึงไม่มีการเพี้ยน หรือลดเสียง -ท- ใด ๆ ทั้งสิ้น ออกเสียงปกติว่า -เคิน-[เทน]-
กรณีที่สอง ซึ่งกรณีนี้เป็นลักษณะเฉพาะของสำเนียงอเมริกัน ก็เช่นเดียวกันนะครับ มันทำให้พูดง่ายขึ้น แต่เราไม่จำเป็นต้องไปพูดตามเขา แต่ควรรู้ไว้ใช่ว่า จะได้ฟังได้รู้เรื่อง กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อ t ตามหลัง n และเป็นพยางค์ที่ไม่เน้น บางทีคนอเมริกันก็ตัดเสียง t ทิ้งไปดื้อ ๆ เลย พบเห็นโดยทั่วไปเช่นกัน และแต่ก็แล้วแต่คนพูด ไม่บ่อยเหมือนในกรณีแรก ตัวอย่างเช่น
- plenty -[เพลน]-ตี- กลายเป็น -[เพลน]-นี-
- twenty -เทอะ-[เวน]-ตี- กลายเป็น -เทอะ-[เวน]-นี-
- winter -[วิน]-เทอระ- กลายเป็น -[วิน]-เนอระ-
- center -[เส็น]-เทอระ- กลายเป็น -[เส็น]-เนอระ-
- dentist -[เดน]-ทิสท- กลายเป็น -[เดน]-นิสท-
- isn’t กลายเป็น -[อีส]-ซึน- ไม่มีเสียง -ท- ลงท้าย เวลาต่อกับคำอื่นที่เป็นเสียงสระจะเห็นได้ชัด เช่น isn’t it ออกเสียงติดกันว่า -[อีส]-ซึน-นิท-
- want to กลายเป็น -[วอน]-เนอะ- หรือ -[วอน]-นา- บางคนก็เขียนย่อ (แบบไม่เป็นทางการ) ตามภาษาพูดว่า wanna
กรณีอื่นก็ยังมีอีกบ้าง แต่คิดว่าเอาแค่หลัก ๆ สองอย่างก็พอ จำอะไรจำหลวม ๆ นะครับ ข้อยกเว้นอาจจะมีซึ่งผมอาจจะนึกไม่ออกตอนนี้ อย่างที่ว่า พยายามใช้หูเป็นครูด้วย
การออกเสียงคำที่เติม -ed
คำกริยาในภาษาอังกฤษนั้น มีสามรูปที่เราเรียกกันว่า กริยาสามช่อง คำบางคำก็เปลี่ยนรูปไปเลย เช่น do did done แต่คำส่วนใหญ่ก็แค่เติม ed ต่อท้ายลงไป เช่น stay stayed stayed การเติม ed นอกจากใช้ในรูปประโยค tense ต่าง ๆ แล้ว ก็ยังใช้ในรูปประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (passive voice) ด้วย ซึ่งจะพบเห็นอยู่ประจำ ตอนนี้เรามาดูวิธีออกเสียงคำที่ถูกเติมด้วย ed กัน
กฎข้อแรก คือ คำที่ลงท้ายด้วย d หรือ t เมื่อเติม ed จะออกเสียงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งพยางค์เป็น -ดิด- สำหรับตัว d หรือ -ทิด- สำหรับตัว t หมายเหตุว่า เสียง -ท- ของ -ทิด- สามารถเพี้ยนเป็นเสียง -ต- หรือ -ด- ได้ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนก่อน ลองดูตัวอย่างครับ
- added -[แอด]-ดิด-
- needed -[นีด]-ดิด-
- divided -ดิ-[ไว]-ดิด-
- tested -[เทส]-ติด-
- related -ริ-[เล]-ทิด- หรือ -ริ-[เล]-ติด-
- reported -ริ-[พอร]-ทิด- หรือ -ริ-[พอร]-ติด-
คำที่ลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะตัวอื่น ๆ จะไม่ออกเสียงเพิ่มพยางค์ แต่จะออกเป็นแค่เสียง t หรือเสียง d เติมท้ายเท่านั้น ตามตำราแล้ว ถ้าลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง ได้แก่ เสียงของพยัญชนะ s, f, k, p, sh, ch ให้เพิ่มเสียง -ท- เข้าไปตอนท้ายเป็นเสียง ทึอ หรือ เทอะ ซึ่งเสียงลมเฉย ๆ เสียง -ท- จะไปทำให้เสียงพยัญชนะเดิมสั้นลงเล็กน้อย เพราะต้องหยุดมาทำเสียง ทึอ ตัวอย่างเช่น
- missed -มิสท-
- kicked -คิคท-
- pushed -พุฉท-
- touched -ทัชท-
- coughed -คอฟท-
- stopped -สะ-[ตอพท]-
- charged -ชารจท- อันนี้เป็นตัวยกเว้น ลงด้วยเสียง j หรือ -จ- ed ก็ยังเป็นเสียง t ครับ
สำหรับคำที่ลงท้ายด้วยเสียงก้อง ได้แก่ เสียงสระ หรือเสียงของพยัญชนะอื่น ๆ เช่น z, v, g, b, l, m, n, r, … ให้เติมเสียง d เข้าไปตอนท้ายเป็นเสียงคราง ดึอ หรือ เดอะ เบา ๆ เช่นเดียวกัน เสียง -ด- จะทำให้เสียงพยัญชนะเดิมสั้นลงเล็กน้อย จะเห็นได้ชัดที่สุดในคำที่ลงท้ายด้วยเสียงตัว r เช่น fired ออกเสียงว่า -ไฟรด- พูดช้า ๆ จะฟังคล้ายสองพยางค์ว่า -[ไฟ]-เอิรด- เทียบกับ fire ซึ่งพูดช้า ๆ เป็นสองพยาค์ได้เป็น -[ไฟ]-เอิร- พยางค์หลังจะลากยาวกว่าหน่อยจากผลของตัว r เต็ม ๆ ที่เราได้เห็นมาแล้วในตอนก่อน ๆ ดูตัวอย่างเพิ่มเช่น
- retired -ริ-[ไทรด]-
- stored -สะ-[ตอรด]-
- fostered -[ฟอส]-เตอรด-
- called -คอลด-
- saved -เสฯด-
- tried -ทรายด- (มาจาก try เติม ed)
- banned -แบนด- ก็ออกเสียงเหมือนคำว่า band เลย แต่คนละความหมาย
- robbed -รอบด-
- begged -เบกด-
ข้อสังเกตอีกอย่างคือ เวลาพูดเป็นประโยค ติด ๆ กับคำอื่น เสียง -ท- สามารถเพี้ยนเป็นเสียง -ต- หรือ -ด- ได้ โดยเฉพาะเมื่อตามด้วยคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ ดังนั้น ใครจะโมเมไม่สนใจว่าเสียงก้อง หรือไม่ก้อง แต่จะใส่เป็นเสียง -ด- ไปหมดเวลาเติม ed ผมก็ว่าพอใช้ได้นะครับ จะได้ง่ายขึ้นหน่อย ลองดูตัวอย่าง เช่น
- He kicked us. พูดติดกันเป็น -[คิค]-ทัส- หรือ -[คิค]-ตัส- หรือ อนุโลมให้พูดเป็น -[คิค]-ดัส- ได้
- We missed it. พูดติดกันเป็น -[มีส]-ติท- หรือ อนุโลมให้พูดเป็น -[มีส]-ดิท- ได้
- He stopped it. พูดติดกันเป็น -สะ-[ต็อพ]-ติท- หรือ อนุโลมให้พูดเป็น -สะ-[ต็อพ]-ดิท- ได้
- We saved it. พูดติดกันเป็น -เสฯ-ดิท-
สรุปตบท้ายหน่อยว่า เสียงที่จะได้ยินชัดเจนเสมอก็คือ เสียงที่เพิ่มอีกพยางค์หนึ่งในกรณีที่ลงท้ายด้วย t หรือ d ถ้าใครไม่เคยพูดเสียง ed เลยก็ควรเริ่มจากสองตัวนี้ให้ได้ ส่วนในกรณีอื่น ๆ นั้น ก็ไม่ต้องเครียคเกินไป ทำตกไปบ้าง หรือ ทำผิดบ้างถูกบ้างช่างมัน ถือเป็นส่วนหนึ่งของสำเนียงไทย ค่อย ๆ พัฒนาไปตามประสบการณ์ และความสามารถ ผมเองก็ยอมรับว่าไม่ได้พูดถูกตลอดเวลา เรื่องไวยกรณ์กับภาษาพูดนี้ผมจะพูดถึงละเอียดอีกครั้งในบทที 19 ส่วนเรื่องเสียงเชื่อมคำจะพูดอีกครั้งในบทที่ 17
หมายเหตุ คำคุณศัพท์บางคำมีรูปร่างคล้ายเกิดจากการเติม ed เข้าไปในคำกริยา แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ คำพวกนี้มีความหมายในตัวของมันเอง เพียงแค่รูปร่างเหมือนเกิดจากการเติม ed ดังนั้น คำพวกนี้อาจไม่ออกเสียงตามกฎที่กล่าวมาข้างต้น ยกตัวอย่างเช่น naked อ่านว่า -[เนค]-กิด- หรือ -[เนค]-เก็ด- (เสียงพยาค์หลังสั้นและเบา จะออก -กิด- หรือ -เก็ด- ก็ได้ ไม่ต่างกันเท่าไร) ในขณะที่ faked อ่านว่า -เฟคท- เพราะมาจากคำกริยา fake ส่วน legged อ่านว่า -[เลค]-กิด- ในขณะที่ begged อ่านว่า -เบกด- เพราะมาจากคำกริยา beg ดูตัวอย่างเพิ่มเช่น
- wicked อ่านว่า -[วิค]-กิด-
- rugged อ่านว่า -[รัก]-กิด-
- beloved อ่านได้สองแบบ -บิ-[เลิฯ]-ฯิด- หรือ -บิ-[เลิฯด]- ก็ได้
» ไปบทถัดไป 10. เสียง p และ b » กลับไปที่ สารบัญ