เอาย่อ ๆ แบบถาม ตอบ ไม่เป็นทางการ แล้วกันนะครับ
- ไปไง มาไงเนี่ย
-
เห็นคนไทยพูดภาษาอังกฤษแล้วก็รู้สึกเห็นใจ ผมเริ่มเขียนแนะนำการออกเสียงในเฟสบุค แต่ก็ยังไม่จบ เพราะเห็นว่าใส่ในเฟสบุคชักไม่ค่อยจะเข้าที ก็ตั้งใจจะทำต่อให้เสร็จ ทีแรกว่าจะพิมพ์เป็นหนังสือ แต่เปลี่ยนใจมาใส่เวบดีกว่า เพราะมันทันสมัยกว่าเยอะ ใคร ๆ ค้นหาก็ได้ และเนื้อหาก็เปลี่ยนแปลงได้ถ้ามีการผิดพลาด หรือต้องการเพิ่มเติม
- เขียนให้ใคร
-
กลุ่มเป้าหมายคือคนเรียนจบมัธยมต้นแล้ว พ้นวัยเด็กไปแล้ว มีความรู้ทางศัพท์ และไวยกรณ์มาพอสมควรแล้ว รู้ยิ่งมากยิ่งดี แต่พูดไม่รู้เรื่อง และฟังไม่ค่อยออก
- สอนได้ดีกว่าฝรั่งหรือ
-
ผมไม่รู้ครับ คุณลองตัดสินเอาเอง ผมขอเปรียบเทียบว่า ผมเหมือนหมอที่เคยป่วยมาแล้ว ผมจบมัธยมก็รู้ตัวว่าพูดไม่ค่อยได้ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง รักษาตัวเองมาจนถึงวันนี้ ก็ยอมรับว่าไม่หายสนิท อาการนี้มันหายยาก ฝรั่งเหมือนหมอที่ชำนาญวิชากว่า แต่ไม่เคยป่วย ก็ได้เปรียบกันคนละอย่าง ก็ถือว่าช่วยกัน ผมไม่ได้คิดจะไปแข่งกับใคร
- รู้ได้ไงว่าจะดีขึ้น
-
เอางี้สิ ลองหาบทพูดสัก 2-3 นาที อ่านแล้วอัดเสียงตัวเองไว้ ศัพท์คำไหนอ่านไม่ออก เปิดพจนานุกรมดูก่อนแล้วค่อยอ่าน แล้วลองฝึกสัก 2-3 เดือน แล้วมาอ่านไหน เทียบกันดู หรือให้ฝรั่งฟังดู ได้ผลอย่างไร ส่งมาให้ฟังด้วยก็ได้ การอ่านมันก็ไม่เหมือนการพูดซะทีเดียว แต่ก็พอเอามาใช้เป็นเครื่องวัดได้ ผมให้ตัวอย่างดังนี้ ใครชอบก็อ่านดู ไม่ชอบก็ไปหาใหม่
-
It’s never too late to learn. Learning is actually a process that is transforming your brain. Researchers have shown that even adult’s brain can change. In fact, the brain makes new connections every time we think or learn something. Yes, it is developing just like in a child, although not as fast, but it did not stop after you have grown up. I found that one of the biggest obstacles to learning in adulthood, and maybe the biggest, is not one’s intelligence or lack of resources. It is the lack of an open mind. If you think you know enough or smarter than others, then you are never gonna learn anything.
- มีอะไรจะพูดอีกไหม
-
ก็ขอขอบคุณ คนที่เคยให้ข้อแนะนำตอนเขียนอยู่ที่เฟสบุคนะครับ
-
ทักษะทางภาษา จริง ๆ แล้วเป็นทักษะเหมือนการเล่นดนตรี หรือ เล่นกีฬา คนเก่งทฤษฏีอย่างเดียว แต่ไม่เคยปฏิบัติมันก็จะเก่งไปไม่ได้ สู้คนปฏิบัติอย่างเดียวแต่ไม่รู้ทฤษฎีก็ไม่ได้ อีกอย่าง คือ เวลาปฏิบัติถ้ามัวไปพะวงถึงทฤษฎีมันก็จะทำไม่คล่อง เหมือนคนเล่นดนตรี หรือเล่นกีฬา ตอนเล่นเขาไม่พะวงถึงทฤษฎี เขาเล่นไปตามธรรมชาติซึ่งเกิดจากทักษะ ทฤษฏีนั้นเอาไว้ใช้ตอนฝึกให้เกิดทักษะ เช่นเดียวกับหลักการของหนังสือเล่มนี้ ผมแนะนำทฤษฎีก็เพื่อให้เอาไว้ฝึกให้เกิดทักษะ หรือฝึกเพื่อแก้การออกเสียงผิด ๆ ที่ได้ฝังอยู่ในหัวเรามา เรื่องนี้ไว้พูดกันอีกทีในบทถัดไป
» ไปบทถัดไป 1. อ่านแล้วจะช่วยให้พูดชัดขึ้นได้อย่างไร » กลับไปที่ สารบัญ