มาถึงการรวบยอดของการออกเสียงนะครับ เป็นการรวมความรู้พื้นฐานในบทก่อน ๆ มาประกอบในการออกเสียงเป็นวลี หรือทั้งประโยค ซึ่งการออกเสียงทั้งประโยคนั้นก็ไม่เพียงแต่ใช้พื้นฐานของการออกเสียงเป็นคำ ๆ กับการเชื่อมเสียงเท่านั้น ยังมีเกร็ดที่สำคัญที่ผมจะได้เล่าให้ฟังในบทนี้
การเน้นคำในประโยค หรือ วลี
ในภาษาอังกฤษ นอกจากจะมีการออกเสียงเน้นพยางค์ในคำแล้ว เมื่อคำเหล่านั้นมาอยู่ในประโยคในการพูด ก็ยังมีการเน้นคำแตกต่างกันภายในประโยคอีกด้วย การเน้นพยางค์นั้นไม่ค่อยมีหลักการอะไร แต่การเน้นคำในประโยคนั้น มีหลักสำคัญก็คือ เพื่อการสื่อสาระให้กับผู้ฟัง กล่าวคือ คำที่เน้นก็มักจะมีสาระมากกว่า คำอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น
- There is a cat in the room. ในประโยคนี้คำที่สื่อสาระก็คือ cat กับ room สองคำนี้ก็จะเด่นกว่าคำอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นคำประกอบให้ประโยคสมบูรณ์
- There are two cats in the room. คราวนี้คำที่สื่อสาระ ก็เพิ่มขึ้นมาอีกคำ เป็น two cats และก็ room
- Do you want to go to the movie?
- What is in there?
- Would you help me take the car to the garage?
พอจะจับหลักการเบื้องต้นได้ใช่ใหมครับ คำที่เด่น หรือตามทฤษฎีเรียกว่า content words ก็คือ คำที่เป็นเนื่อความในประโยคที่พูด ถ้าสมมติว่าเราพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น พูดเป็นแต่คำ ๆ เช่น พูดว่า two cats room แล้วชี้โบ้ชี้เบ้ไปที่ห้องนั้น คนฟังคงพอจะจับใจความได้ว่า เราหมายถึง มีแมวสองตัวในห้อง แต่เขาก็คงคิดว่า คนพูดเป็นคนมีปัญหาทางภาษา ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราพูดเน้นทุก ๆ คำในประโยคเท่า ๆ กัน ประมาณว่าเป็นสำเนียงไทยแท้ มันก็จะฟังแปลก ๆ และบางครั้งอาจถึงกับทำให้คนฟังฟังไม่รู้เรื่องด้วย
พวกคำประกอบที่ทำให้ประโยคสมบูรณ์นี้ ส่วนใหญ่ก็จะมาจากคำประเภท function words หรือ grammatical words ได้แก่
- คำนำหน้านาม (articles) a, an, the, some, any, ฯลฯ
- คำบุพบท (prepositions) in, out, to, from, into, of, ฯลฯ
- กริยาช่วย ได้แก่ do/does, can, could, should, would, verb to be ในรูปประโยค continuous tense, verb to have ในรูปประโยค perfect tense, ฯลฯ
- คำสรรพนาม he, him, his, she, they, we, us, ฯลฯ
- คำเชื่อมประโยค or, and, but, if, though, ฯลฯ
ก่อนที่จะกันไปไกล ขอหยุดบอกตรงนี้ก่อนว่า คำประกอบเหล่านี้ไม่จำเป็นที่จะเป็นคำที่ไม่เน้นในประโยคเสมอไป ย้อนกลับไปที่หลักการที่กล่าวข้างต้น คือ การเน้นคำเพื่อสื่อสาระให้ผู้ฟัง ซึ่งหลักอันนี้ก็แตกมาเป็นหลักย่อยข้อแรกก็คือ โดยส่วนใหญ่หรือโดยปกติ คำประกอบประโยค มักเป็นคำที่ไม่สื่อสาระหลัก เพราะฉะนั้น โดยส่วนใหญ่คำพวกนี้จะไม่เน้น แต่ก็มีสถานการณ์ที่นอกเหนือจากปกติเหมือนกันที่ผู้พูดจะเน้นคำเหล่านี้ได้ ลองดูตัวอย่าง เช่น
- Please stay on the bus until it comes to a complete stop. ประโยคนี้ถ้าพูดโดยทั่วไปก็เน้นแค่ stay, bus, completely, stops ใช่ไหมครับ แต่ในกรณีที่ผู้พูดต้องการเน้นให้ผู้ฟังอยู่บนรถก่อน เช่น อย่างรถเมล์เมืองไทย ที่บางคันไม่ปิดประตู แล้วผู้โดยสารบางคนใจร้อนชอบโดดลงก่อน คนขับถ้าเห็นอย่างนั้น ก็อาจพูดเตือนคนเหล่านั้นว่า อย่าเพิ่งลง รอรถจอดก่อน โดยเน้นคำว่า on ได้
- You can have an apple, or you can have an orange. เช่นเดียวกัน ประโยคนี้พูดโดยทั่วไป คำว่า or ก็ไม่เน้น แต่ในกรณีที่ผู้พูดต้องการเน้นว่า คุณมีทางเลือกนะ อาจจะเห็นว่าคนกินแอปเปิลมาก หรือ มีคนเข้าใจผิดคิดว่าไม่ให้กินส้ม หรือ ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผู้พูดก็สามารถเน้น คำว่า or ได้
- I want to know about project X. Does “it” work like we had planned? มาดูอีกตัวอย่างหนึ่งครับ ในกรณีนี้ผู้พูดต้องการเน้นถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีความพิเศษเข้าใจกันระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ประโยคที่สอง ถึงแม้เขาแทนสิ่งนี้ด้วยสรรพนาม it แต่ยังต้องการเน้นอยู่ สังเกตว่านอกจาก it จะมีการเน้นเสียงแล้ว การเชื่อมเสียงกับคำหน้าก็สามารถหายไปได้ด้วย
สังเกตอย่างหนึ่งว่า เวลาที่คำประกอบเหล่านี้ออกเสียงแบบไม่เน้น การออกเสียงมักจะลดรูปกลายเป็นสระ ə (สระตัวนี้ ผมได้อธิบายไว้ในบทที่ 16) แทนที่จะเป็นสระปกติของมัน ลองกลับไปสังเกตดูการออกเสียงคำว่า on หรือ or เปรียบเทียบกันระหว่างแบบที่เน้น กับแบบที่ไม่เน้นในประโยคข้างต้นอีกครั้ง พจนานุกรมบางฉบับถึงกับบอกวิธีออกเสียงไว้สองแบบเลยก็มี แต่ผมว่าไม่จำเป็น เรารู้หลักการ รู้วิธีใช้ เมื่อฟังเขาใช้มาก ๆ พอให้เกิดความคุ้นเคย แล้วก็ใช้ไปตามธรรมชาติ ตามอารมณ์ของเรา ลองดูตัวอย่างเพิ่มเติม สังเกตเสียงสระ ə ของคำที่ไม่เน้น
- He can go.
- That is far from here.
- It’s located in front of the house.
- We have to find them or they are gone.
- Do you want to come here?
ดังนั้น กฎข้อแรกเป็นกฎปกติว่าด้วยการเน้นคำพวก content words ใช้กันโดยทั่วไปในการพูด และกฎข้อที่สองก็คือ การเน้นคำพิเศษขึ้นเพื่อสื่อถึงการให้ความสำคัญพิเศษของคำนั้น ๆ ซึ่งคราวนี้ไม่จำกัดว่า คำนั้นจะเป็น content word หรือ function word โดยทั่วไป ถ้าจะเน้นพิเศษ ก็มักจะเน้นแค่คำคำเดียวในประโยคหนึ่ง ๆ และก็ไม่ทำกันทุกประโยคที่พูดนะครับ เดี๋ยวคนฟังจะเหนื่อยซะก่อน เอาเฉพาะจุดที่สำคัญ ลองดูตัวอย่าง ซึ่งผมจะพิมพ์คำที่เน้นพิเศษด้วยตัวเอียงหนาให้เห็นชัดในที่นี้
- I took take the test yesterday. อันนี้ดูจะเป็นการพูดที่ปกติที่สุด เพื่อบอกว่าฉันทำข้อสอบเมื่อวานนี้ เน้นว่าทำ ถ้าจะเน้นมากกว่านี้ ก็ใช้ I did take the test yesterday. ก็ได้
- I took the test yesterday. อันนี้ต้องการสื่อว่า เป็นตัวฉันที่เป็นคนทำ อาจมาจากสถานการณ์ว่า คนฟังคิดว่า คนอื่นทำไม่ใช่เราทำ
- I took the test yesterday. อันนี้ต้องการเน้นว่า ฉันทำข้อสอบอันนั้น (the test) ไม่ใช้อันอื่น “the” คือ คำนำหน้าที่ชี้เฉพาะ หมายถึง อันที่กำลังพูดถึงอยู่ ก็คล้ายกับการใช้ that ในที่นี้ “the” เวลาจะออกเสียงเน้น ก็นิยมออกเสียงว่า -ดิ- หรือ -เดอะ- ก็ได้
- I took the test yesterday. อันนี้ต้องการเน้นว่า ฉันทำเมื่อวานนี้ ไม่ใช่ทำวันอื่น
มาดูตัวอย่างเกี่ยวกับการถาม และการตอบนะครับ ซึ่งคำถามก็มักจะมีจุดเน้น หรือโฟกัส ว่าถามอะไร ดังนั้น โดยทั่วไป ผู้ตอบก็มักจะเน้นคำที่เป็นจุดตอบสนองต่อคำถามนั้น ๆ เช่น
- A: Who can go to this meeting? จุดเน้นอยู่ที่ใครไปได้
- B: I can go.
- B: He can go.
- B: He and I can go.
- A: Can he go to this meeting, or not? จุดเน้นอยู่ที่ไปได้ หรือไม่ได้
- B: Yes, he can (go).
- B: No, he cannot (go).
- A: Where can he be?
- B: He can be at the meeting.
ภาษาไทยเราก็มีบ้าง ที่ใช้เสียงดังขึ้น หรือยาวขึ้นเพื่อเพิ่มความสำคัญของคำในประโยค แต่ก็ไม่ถึงกับใช้เป็นปกติเหมือนในภาษาอังกฤษ คนที่พูดเน้นคำในภาษาไทย มักถูกมองว่า ดัดจริตนิด ๆ (หรือผมอาจจะหัวเก่าก็ไม่ทราบ) ในภาษาอังกฤษนั้น คุณจะสังเกตได้ว่า คำที่เน้นพิเศษไม่เพียงแต่เสียงยาว และดังขึ้น ระดับเสียงยังอาจสูงขึ้นได้ด้วย มากน้อยแล้วก็แต่ผู้พูด ซึ่งภาษาไทยโดยปกติเราไม่ทำกัน ดังนั้น การฝึกเน้นคำของเรา ก็ระวังอย่าดัดมากเกินไป ควรเริ่มจากการเน้นคำ content words ให้ราบรื่นฟังดูเป็นธรรมชาติก่อน ผมเคยเห็นใน youtube เด็กไทยบางคนที่เข้าแข่งขันพูดภาษาอังกฤษ คิดว่าอาจจะเป็นความพยายามพูดให้มีสำเนียงเหมือนฝรั่ง แล้วก็พยายามดัดให้มีเสียงสูงเสียงต่ำ ในที่ที่ไม่จำเป็นบ้าง เกินความพอดีบ้าง ผลลัพธ์ก็คือ ทำให้ฟังดูแปลก ๆ ไม่เป็นธรรมชาติ
การออกเสียงคำกริยาที่ลดรูป
ต่อเนื่องจากตอนที่แล้วนะครับ เราได้เห็นจากตอนที่แล้วแล้วว่า คำประกอบ หรือ function words โดยทั่วไปเป็นคำที่ไม่เน้น คำพวกนี้ฝรั่งเขาก็ชอบพูดให้มันเร็วขึ้น หรือกะทัดรัดขึ้น จนเกิดเป็นการลดรูป ลดเสียง กลายเป็นการพูดแบบย่อขึ้น ตัวอย่าง เช่น You are ก็กลายเป็น You’re ซึ่งสามารถออกเสียงเป็นพยางค์เดียวเหมือนกับคำว่า your เลย (-ยัวร- หรือ -ยูอร-) การลดรูปเสียงอย่างนี้ก็มีอยู่มากมายในภาษาอังกฤษ เราก็ควรพอรู้เอาไว้ เวลาฟังจะได้ฟังเขารู้เรื่อง ส่วนตอนพูดก็ไม่ต้องห่วงว่าเราต้องไปพูดแบบลดเสียงเสมอไป ไม่จำเป็น ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้ ที่สำคัญคือ ควรออกเสียงเน้น หรือไม่เน้นให้ถูกต้อง คำที่ไม่เน้น ก็มักจะใช้เสียงสระ ə ซึ่งจะเบา และสั้น เมื่อฟังไป พูดไปมาก ๆ เข้า ก็จะเริ่มมีการลดรูปเสียงไปตามธรรมชาติ มากบ้าง น้อยบ้างก็ช่างมัน
ลองมาดูกันหน่อยว่า มีคำอะไรที่ลดรูปเสียงได้บ้าง ชุดใหญ่ก็คือ พวกกริยาช่วยทั้งหลาย ผมรวบรวมตัวอย่างให้ดูในตารางข้างล่าง เอามาให้ดูพอสมควร เพื่อที่จะได้คุ้นเคย และได้ฝึกฝนกัน แต่ก็ไม่ได้เอามาทุกกระบวนท่านะครับ อย่างที่บอกว่า ไม่แนะนำให้ท่องจำ ถ้าคุณเริ่มมีความคุ้นเคยแล้วก็คิดว่า จะประยุกต์ได้กับคำอะไรก็ได้ที่เจอ
รูปเต็ม |
รูปย่อ |
ตัวอย่าง และการออกเสียง |
Is | s -ส- หรือ -ซ- | He’s good. -ฮีซ- It’s good. -อิส- (I)s he good? -ซฮี- อันนี้ he ก็ลดรูปเสียงต่อไปได้อีก กลายเป็น -สี- (I)s it good? -ซิท- The cat’s good. -แคทส- That’s good. -แดทส- |
are | re -ร- | You’re good. -ยัวร- They’re good. -แดร- We’re good. -เวียร- หรือ -แวร- |
am | m -ม- | I’m good. -ไอม- หรือ -อาม- (A)m I good? -อไม- หรือ -ไม- |
has | s -ส- หรือ -ซ- | He’s been good. -ฮีซ- It’s been good. -อิส- (Ha)s he been good? -สฮี- อันนี้ he ก็ลดรูปเสียงต่อไปได้อีก กลายเป็น -สี- (Ha)s it been good? -สิท- |
have | ve -ฯ- | You’ve been good. -ยูฯ- They’ve been good. –เดฯ- This must’ve been good. -มัสฯ- This could’ve been good. -คูดฯ- This could not‘ve been good. |
had | d -ด- | He’d been good. -ฮีด- I’d better be good. -ไอด- |
would | d -ด- | I’d like to be good. -ไอด- That’d be good. -แดด- |
will | ll -ล- | I’ll to be good. -ไอล- It’ll be good. แบบอังกฤษ -[อิท]-ทึล- หรือ อเมริกัน -[อิด]-ดึล- We’ll be good. -วีล- หรือ -วิล- |
Not | n’t -นึท-n -น- (อเมริกัน) | This isn’t good. -[อิซ]-ซึนท- This is good, isn’t it? -[อิซ]-ซึน-ทิท- หรือ -[อิซ]-ซึน-นิท- He hasn’t been good. -[แฮซ]-ซึนท- They haven’t been good. -[แฮฯ]-ฯึนท- This wouldn’t be good. -[วูด]-ดึนท- |
หมายเหตุว่า รูปประโยค ปฏิเสธบางประโยคที่มีกริยาช่วย to be กับ to have ก็สามารถลดรูปได้มากกว่าหนึ่งแบบ เราจะใช้แบบไหนก็ได้ เช่น
- He is not good. สามารถลงรูปได้เป็น He’s not good. หรือ He isn’t good. ก็ได้ แบบแรกก็จะเป็นการเน้น not มากกว่า คือเป็นการย้ำอาการปฎิเสธมากกว่า
- He has not come yet. เช่นเดียวกัน สามารถลงรูปได้เป็น He’s not come yet. หรือ He hasn’t come yet. ก็ได้
นอกจากการลดรูปคำกริยาช่วยแล้ว ก็ยังมีการนิยมลดรูปคำสรรพนามบางคำ เวลาเชื่อมเสียงกับคำที่มาข้างหน้าที่ลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะ สำเนียงอเมริกันจะเป็นมากกว่าสำหรับสำเนียงอังกฤษในเรื่องนี้ ลองดูตัวอย่างในตารางต่อไปนี้
รูปเต็ม |
เสียงย่อ |
ตัวอย่าง และการออกเสียง |
he | -อี- | Is he good? กลายเป็น -อิ-[ซี]- หรือ -ซี- Can he come in? กลายเป็น -แคน-[นี]- |
him | -อิม- | Go and find him. กลายเป็น -[ฟาย]-ดิม- Tell him I’m coming. กลายเป็น -[เทล]-ลิม- |
her | -เออร- | Go and find her. กลายเป็น -[ฟาย]-เดอร- Tell her I’m coming. กลายเป็น -[เทล]-เลอร- |
them | -เอม- ไม่นิยมย่อเท่า him/herโดยมากพบกับพยํญชนะที่เสียงเด่น เช่น k, t, d |
Go and find them. กลายเป็น -[ฟาย]-เดม- Shall we pick them up? กลายเป็น -[พิค]-เคม- |
เรื่องการลดรูปคำประกอบพวกนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปหัดให้ได้นะครับ ผมก็เอามาดูเผื่อช่วยให้ฟังฝรั่งพูดรู้เรื่องขึ้น เราแค่ทำเสียงเน้น หรือไม่เน้นคำให้ถูกต้องก็ถือว่าดีแล้ว พอใช้มาก ๆ เข้าไปก็อาจจะทำได้เองตามธรรมชาติ
การลดรูป To be going to
มีการลดรูปกริยาช่วยอีกตัวหนึ่งที่ไม่ค่อยเหมือนใคร แต่สำคัญมาก เพราะว่า เป็นสำนวนพูดที่ใช้กันตลอดเวลา ก็คือ การลดรูป to be going to เป็น to be gonna -[กอน]-นา- ขออธิบายสรุปสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ว่า to be gonna หรือ to be going to นี้ใช้แสดงกริยาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น I’m gonna do this. เป็นภาษาพูดที่ย่อมาจาก I’m going to do this. ใช้แทนกันได้ คนทั่วไปชอบใช้ gonna มากกว่าเพราะมันพูดได้ง่ายกว่า เร็วกว่า ประโยคนี้มีความหมายเดียวกันการใช้ future tense คือ I will do this. ถ้าจะถามว่าให้ความรู้สึกต่างกันอย่างไร ระหว่าง I’m gonna … กับ I will … ผมคิดว่า I will มีความหมายที่แข็งกว่าหน่อย ผู้พูดมีความมุ่งมั่นมากกว่า หรือมั่นใจมากกว่าว่าอนาคตนั้นต้องเกิดขึ้นแน่ แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก โดยทั่วไปใช้แทนกันได้
ผมคิดว่า เผลอ ๆ คนอาจจะนิยมใช้ gonna มากกว่า future tense ครับ ทั้งที่มีจำนวนคำ และพยางค์มากกว่า พูดยากกว่า ดังนั้น เราจึงควรฝึกให้ช่ำชอง ให้พูดได้โดยไม่ต้องคิด เวลาพูด gonna ต้องพูดให้มันเร็วหน่อย เพราะมันเป็นคำประกอบที่ไม่เน้น เน้นพยางค์แรก แต่พูดสั้น ๆ ทั้งสองพยางค์เวลาอยู่ในรูปประโยค ถ้าพูดชักช้าแล้วมันฟังดูแปลก ๆ ครับ ดังนั้น ขอให้ ฝึกให้ใช้รูปนี้ ได้กับประธานทุกรูปแบบ ทั้งประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ และประโยคคำถาม ดูตัวอย่างแล้วฝึกพูดดู ฝึกให้รู้สึกว่า เวลาใช้ gonna แล้วมันทำให้พูดได้ราบรื่นกว่า
- Are we gonna go to school? ย่อมาจาก Are we going to go to school?
- They are gonna go to school. ย่อมาจาก They are going to go to school.
- Where are we gonna go? ย่อมาจาก Where are we going to go?
- What am I gonna do? ย่อมาจาก What am I going to do?
ลองฟังเทียบกับแบบไม่ลดรูปดู
ผมไม่บอกว่าย่อมาจากอะไรแล้วนะครับ ลองคิดเอาเองดู หรือไม่ก็ช่างมัน พูดให้ถูกแล้วก็ไม่ต้องไปคิดมาก
- Is John gonna be here soon?
- John is not gonna be here. หรือ John isn’t gonna be here. ใช้ได้เหมือนกัน
- He’s gonna come later.
- Is Thailand gonna be OK?
- You’re gonna be practicing this, and you’re gonna like it. หมายเหตุ You’re gonna be practicing this ก็ความหมายเดียวกับ You will be practicing this. นะครับ เป็น future continuous tense ซึ่งทั้งสองแบบนี้ก็เป็นที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปเช่นกัน
» กลับไปที่ สารบัญ