การใช้ภาษาไทยเขียนวิธีออกเสียงในภาษาอังกฤษนั้น สำหรับเสียงสระแล้วส่วนใหญ่ก็เป็นไปได้ด้วยดี คือ เป็นการประมาณที่ใกล้เคียง แต่มีเสียงสระตัวหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นตัวที่ออกเสียงง่ายมาก ๆ แต่หลายคนกลับออกเสียงไม่ค่อยถูก ซึ่งเป็นเสียงสระที่พบบ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ และก็เป็นตัวขยึกขยือตัวเดียวที่ผมจะกล่าวถึง ส่วนตัวอื่น ๆ เราแทนด้วยสระไทยได้ง่าย ๆ ไม่ต้องอธิบายกันมาก เจ้าสระตัวนี้ ตำราส่วนใหญ่ใช้ตัวอักษรอีหัวทิ่ม ə เพื่อแทนเสียงใน phonetics มีชื่อเป็นทางการว่าเสียง schwa (-ฉะ-[วา]-) ถ้าใครจะหัดสังเกตตัว phonetics ในพจนานุกรม ก็ลองสังเกตตัวสระตัวนี้ดูนะครับ จะพบอยู่ทั่ว ๆ ไป
เสียง ə เป็นเสียงที่เบา และสั้นมาก ๆ ถ้าไม่มีพยัญชนะอะไรประกอบ ก็ออกเสียงคล้าย เออะ เบา ๆ ถ้ามีเสียงพยัญชนะหน้า หรือ หลัง หรือ ทั้งสอง ประกอบก็เป็นเหมือนเสียงเติมเต็ม ให้เกิดเป็นพยางค์อีกพยางค์หนึ่ง เช่น ful ก็เป็น -เฟิล- เหมือนเสียงพยัญชนะ F กับ L รวมกันเท่านั้นเอง พยางค์ที่มีเสียง ə เมื่อผสมอยู่ในคำ ก็จะเป็นในพยางค์ที่ไม่เน้นเสมอ และเป็นพยางค์ที่ไม่เน้นแบบอ่อนที่สุด ในบางคำพยางค์นั้นไม่ออกเสียงไปเลยก็มี ในภาษาไทยเราจะว่าเราไม่มีเสียงนี้ก็ไม่เชิง ตัวอย่างเช่น คำว่า “สาธารณะ” ในทางทฤษฎีก็มีสี่พยางค์ สา-ทา-ระ-นะ แต่ในทางปฏิบัติ ไม่ค่อยมีใครออกเสียงสี่พยางค์นี้ชัดถ้อยชัดคำ ส่วนใหญ่พยางค์ “ระ” นี่จะออกเสียงเบา และเร็วมาก บางคนพูดเร็วมาก กลายเป็นสามพยางค์ สา-ทา-นะ ไปเลยก็มี พูดอย่างนี้ คงนึกภาพออกนะครับ การออกเสียงพยางค์แบบนี้นี่แหละ ที่คล้ายกับการออกเสียงสระ ə ในภาษาอังกฤษเลย แต่ภาษาไทยเรา ถ้าใครออกเสียง สา-ทา-ระ-นะ ชัดถ้อยชัดคำ เราก็อาจฟังว่า เขาพูดช้า ๆ ชัด ๆ ดี แต่สำหรับภาษาอังกฤษ ถ้าไปออกเสียงพยางค์นี้ชัดถ้อยชัดคำ ก็จะกลายเป็นการเน้นพยางค์ที่ผิดปกติ ฝรั่งอาจจะฟังไม่รู้เรื่องไปเลย ว่าคุณพูดคำว่าอะไร
เสียง ə ผสมกับพยัญชนะได้หลายรูปแบบนะครับ ถ้าดูที่ตัวสะกดก็มีรูปได้ทั้ง a e i o u เราก็ต้องดูการออกเสียงที่ถูกต้องประกอบ และรู้ว่าคำนั้น ๆ เน้นพยางค์ไหน ลองดูตัวอย่าง และฝึกออกเสียงดู จะเข้าใจมากขึ้น
- about ออกเสียงว่า -อะ-[เบ้าท]- เสียง ə อยู่ที่พยางค์แรก มันสั้น และเบามาก ดังนั้น ไม่ว่าจะเขียนคำอ่านไทยว่า -อะ-[เบ้าท]- หรือ -เอะ-[เบ้าท]- หรือ -เออะ-[เบ้าท]- ก็ไม่มีความแตกต่างกันเลยครับ ถ้าคุณออกเสียงคำนี้ได้ถูกต้อง (ก็เหมือนเราพูด สา-ทา-ระ-นะ ถ้าเราพูดแบบไม่เน้นพยางค์ที่สาม จะพูดเป็น สา-ทา-รา-นะ หรือ สา-ทา-เรอะ-นะ ก็ไม่แตกต่างกันนะครับ เพราะพยางค์นั้นฟังแทบไม่ได้ยิน)
- happen ออกเสียงว่า -[แฮป]-เปิน- หรือ -[แฮพ]-เพิน- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่สอง เมื่อรวมกับพยัญชนะ p กับ n ก็เลยออกเป็น -เปิน- คือเป็นตัวประกอบให้ตัว p กับ n ออกเสียงเป็นพยางค์เบา ๆ ออกมาได้
- rubber ออกเสียงว่า -[รับ]-เบอระ- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่สอง
- beautiful ออกเสียงว่า -[บิว]-เตอะ-เฟิล- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่สอง และสาม เช่นเดียวกัน จะเขียนเป็น -[บิว]-ติ-ฟุล- ก็ได้ ถ้าออกเสียงได้ถูกต้อง มันฟังไม่ต่างกันเลย ทั้งสองพยางค์มาเติมเต็มให้เสียงพยัญชนะ t f และ l
- audible ออกเสียงว่า -[ออ]-เดอะ-เบิล- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่สอง และสาม
- memory ออกเสียงว่า -[เมม]-เมอะ-รี- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่สอง
- dictionary ออกเสียงว่า -[ดิก]-เชิน-เนอะ-รี- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่สอง และสาม
- suppose ออกเสียงว่า -สัพ-[โพซ]- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่หนึ่ง
- approach ออกเสียงว่า -อัพ-[โพรช]- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่หนึ่ง
- Michael ออกเสียงว่า -[ไม]-เคิล- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่สอง
- Philips ออกเสียงว่า -[ฟิล]-เลิพส- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่สอง
- Finland ออกเสียงว่า -[ฟิน]-เลินด- เสียง ə อยู่ที่พยางค์ที่สอง
- ส่วน Thailand จะออกเสียงว่า -[ไท]-เลินด- หรือ -[ไท]-แลนด- แบบพยางค์ที่สองชัดถ้อยชัดคำก็ได้นะครับ ฝรั่งก็มีพูดกันทั้งสองแบบ สงสัยอิทธิพลจากเราออกเสียงสำเนียงไทยแท้ในชื่อประเทศให้เขาฟัง เขาก็เลยเอาด้วย
เห็นไหมครับว่ามันมีรูปทั้ง a e i o u เลย ถ้าเราไปออกเสียงตามรูปสระให้ชัดถ้อยชัดคำ ก็จะคล้ายเป็นสำเนียงไทยแท้ไป แม้แต่คำออกเสียงที่เขียนเป็นภาษาไทย ก็เขียนให้แค่เป็นเสียงที่ใกล้เคียง ซึ่งจริง ๆ แล้วมาจากเสียงพยัญชนะที่อยู่คู่กับมัน อย่าไปอ่านสระให้ชัดถ้อยชัดคำเกินไป ใครจะทำได้เก่ง ก็ต้องเข้าใจ (จากการได้ยินตัวอย่างที่ถูกต้อง) ว่าเสียงสระของพยางค์ที่ไม่เน้นบางตัวนั้น เป็นเสียง ə ควรออกเสียงให้สั้น และเบาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เอาละครับ ลองไปสังเกต หัดฟัง และหัดพูดดู ใครชอบเปิดพจนานุกรมก็ลองหัดสังเกตสระตัวนี้ประกอบ แต่ไม่ต้องเครียดมากว่าใช่หรือไม่ใช่เสียง ə เอาเป็นว่า ฟังแล้ว รู้ว่าเน้นพยางค์ไหน และพูดตามพอเหมือนก็ถือว่าใช้ได้
เมื่อพยางค์หายไป
ตอนนี้มาดูว่าคำบางคำ พยางค์ที่เป็นสระ ə เมื่อพูดเร็ว ๆ พยางค์นั้นก็อาจจะเบา และสั้นมาก จนเหมือนหายไปเลยก็ได้ ต้องออกตัวอีกครั้งว่า ผมอิงตามสำเนียงอเมริกันนะครับ สำเนียงอื่นอาจจะนิยม หรือไม่นิยมตัดพยางค์ในแต่ละคำ ผมไม่ทราบแน่นอน คิดว่าส่วนใหญ่ แต่ไม่ทั้งหมดคงเหมือนกัน แต่ไม่รับประกัน ถ้าคุณไปเปิดพจนานุกรม คำบางคำก็พูดกันจนเป็นมาตรฐาน เขาก็อาจจะบอกว่าออกเสียงได้สองแบบ แต่คำส่วนใหญ่เขาก็จะบอกแค่รูปเต็ม แล้วถ้าถามว่าทำไมเราต้องไปเรียนรู้ด้วย ก็ตอบได้ว่า มีประโยชน์ คือ 1) ทำให้พูดคำเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น คิดดู คำสี่พยางค์พูดเป็นสามพยางค์ หรือ สามพยางค์พูดเป็นสองพยางค์ มันง่ายขึ้นเยอะครับ 2) พูดเหมือนเจ้าของภาษามากขึ้น 3) ช่วยในการฟังให้ดีขึ้นเวลาเขาพูดเร็ว ๆ ในประโยค ผมมักได้ยินคนบ่นว่า สำเนียงอเมริกัน พูดเร็วฟังยากกว่าสำเนียงอังกฤษ คิดว่า ส่วนหนึ่งก็มาจากคำเหล่านี้แหละครับ ดังนั้น ถ้าเราหัดฟัง หัดสังเกตให้ค้นเคยก็จะช่วยได้
ลองดูตัวอย่างนะครับ
- history -[ฮีส]-เทอะ-รี- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[ฮีส]-ทรี- คำลงท้ายด้วย -tory ส่วนใหญ่ก็ออกเสียงอย่างนี้นะครับ
- victory -[วิค]-เทอะ-รี- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[วิค]-ทรี-
- favorite -[เฟ]-เฯอะ-ริท- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[เฟ]-ฯริท-
- literature -[ลิท]-เทอะ-เรอะ-เชอร- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[ลิท]-เทรอะ-เชอร-
- temperature -[เทิม]-เพอะ-เรอะ-เชอร- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[เทิม]-เพรอะ-เชอร-
- interest -[[อิน]]-เทอะ-[เรส]- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[อิน]-เทรส-
- interested -[[อิน]]-เทอะ-[เรส]-ติด- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[อิน]-เทรส -ติด-
- different -[ดิฟ]-เฟอะ-เรินท- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[ดิฟ]-เฟรนท-
- chocolate -[ช็อค]-เคอะ-เลท- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[ช็อค]-เลท-
- memory -[เมม]-เมอะ-รี- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[เมม]-รี-
- family -[แฟม]-เมอะ-ลี- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[แฟม]-ลี-
- separate -[เสพ]-เพอะ-เรท- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[เสพ]-เพรท-
- general -[เจน]-เนอะ-เรล- ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[เจน]-เรล-
- vegetable -[เฯจ]-จิท-เทอะ-เบิล- อันนี้พยางค์ที่สองไม่ใช่เสียง เออะ แต่ก็มีลักษณะเดียวกัน คือ ออกเสียงเบา และสามารถ ออกเสียงลดพยางค์ได้เป็น -[เฯจ]-เทอะ-เบิล-
ยังมีอีกเยอะครับ แต่เอาที่นิยม ๆ กันพอหอมปากหอมคอก่อน แล้วลองไปสังเกตเพิ่มเติมเอา
เสียงคำวิเศษณ์ที่ลงท้ายด้วย -cally
คำอีกชุดหนึ่งที่นิยมตัดพยางค์ทิ้ง และก็พบบ่อยมาก เลยขอยกตัวอย่างแถมเป็นพิเศษ ก็คือ คำวิเศษณ์ที่ลงท้ายด้วย -cally คำวิมีคำคุณศัพท์หลายคำที่มีรากศัพท์มาจากคำนาม แล้วเติมลงท้ายด้วย cal เช่น technical อ่านว่า -[เทค]-นิ-เคิล- พอทำเป็นคำวิเศษณ์ (adverb) ก็เติม ly เข้าไปเป็น technically แต่ให้ออกเสียงเป็น -[เทค]-นิค-ลี- คือ เสียงพยางค์ cal ที่เป็นเสียงสระ ə นี้หายไป เหลือแต่เสียงตัวสะกด -ค- บางทีผมก็ได้ยินคนไทย หรือคนต่างชาติออกเสียงพยางค์นี้อยู่ ซึ่งก็ไม่ถึงกับผิด แต่มันฟังไม่เหมือนกับเจ้าของภาษาเขา แล้วแถมยังทำให้พูดยากขึ้นอีก เพราะฉะนั้น ก็ลองหัดพูดคำพวกนี้ดู ซึ่งพบเห็นมากมาย และใช้กันทั่ว ๆ ไป ดูตัวอย่างแล้วกันครับ เช่น
- technically -[เทค]-นิค-ลี-
- physically -[ฟี]-ซิค-ลี-
- historically -ฮีส-[ตอ]-ริค-ลี-
- typically -[ทิพ]-ปิค-ลี-
- basically -[เบ]-ซิค-ลี-
- critically -[คริ]-ติค-ลี-)
อ้อ สำหรับคำคุณศัพท์ที่ลงด้วย -al แต่ไม่ใช่ -cal หรือไม่ใช่เสียง -เคิล- นั้นให้ออกเสียงตามปกตินะครับ เช่น national -[แน]-เฉิน-เนิล- พอเป็นคำวิเศษณ์ nationally -[แน]-เฉิน-เนิล-ลี-
» ไปบทถัดไป 17. เสียงเชื่อมระหว่างคำ (Linking Sounds) » กลับไปที่ สารบัญ