17. คำนำหน้านาม (การใช้ A, An, The)

เรื่องของไวยกรณ์คำนำหน้านาม หรือ articles ในภาษาอังกฤษ มีประเด็นสำคัญอยู่สองเรื่อง คือ 1) เกี่ยวกับนามนับได้ หรือนับไม่ได้ และ 2) เกี่ยวกับการชี้เฉพาะหรือไม่ชี้เฉพาะ  และก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนไทยสับสน เพราะ ภาษาไทยเราไม่มีกฏไวยกรณ์พวกนี้ บทนี้ลองมาดูกันว่าเป็นอย่างไร

การใช้ a กับนามนับได้โดยไม่ชี้เฉพาะ

ในภาษาไทย เราสามารถพูดลอย ๆ กันง่าย ๆ เช่น ในประโยคว่า “หมาเป็นสัตว์ที่ดี”  ถ้าจะแปลเอาความหมายอย่างเดียวโดยไม่สนไวยกรณ์ เราก็แปลตรง ๆ  ได้ เป็น  “Dog is good animal.”  ปรากฎว่า ผิดไวยกรณ์อย่างแรง ครับ  แม้แต่ภาษาพูดก็ไม่มีใครพูดอย่างนี้  ผิดเพราะว่า หมาเป็นนามนับได้ (countable noun) ถ้าจะพูดถึงนามนับได้แบบลอย ๆ ไม่เจาะจง ต้องใช้สองแบบนี้ คือ

  • แบบที่หนึ่ง ต้องทำเป็นพหูพจน์ Dogs are good animals.
  • แบบที่สอง ต้องทำเป็นเอกพจน์  A dog is a good animal.

ทั้งสองประโยคแปลเป็นไทยได้เหมือนกันว่า “หมาเป็นสัตว์ที่ดี” ถูกไวยกรณ์ทั้งคู่  แล้วแบบไหนคนใช้มากกว่ากัน  อันนี้แล้วแต่ความหมาย และสถานการณ์ครับ  A dog มีความหมายพิเศษได้ คือแปลว่า หมาหนึ่งตัว หรือหมาตัวหนึ่งก็ได้ หรือจะแปลว่า หมาเฉย ๆ ลอย ๆ อย่างในประโยคข้างต้นก็ได้  ในกรณีที่เราต้องการจะสื่อตรง ๆ หรือ อ้อม ๆ ว่า หมาตัวหนึ่ง ก็ให้ใช้ a dog เช่น

  • All you need is a dog.   สิ่งที่คุณต้องการ คือ หมาสักตัวหนึ่ง
  • A dog can be a wonderful gift to your child.  หมาอาจจะเป็นของขวัญที่พิเศษสำหรับลูกคุณก็ได้   คนส่วนใหญ่ซื้อหมาให้ลูกก็ซื้อทีละตัวครับ เพราะฉะนั้นใช้เอกพจน์ก็เหมาะสมกว่า

แต่การพูดลอย ๆ ไม่เจาะจงในตัวอย่างต่อไปนี้ คนนิยมใช้เป็นรูป พหูพจน์มากกว่า เอกพจน์ครับ เช่น

  • I like dogs.  ฉันชอบหมา
  • Cats don’t like water.   แมวไม่ชอบน้ำ
  • Dogs usually hate cats.  หมาโดยปกติแล้วเกลียดแมว

เราไม่ใช้ I like a dog ครับ เพราะมันแปลว่า ฉันชอบหมาตัวหนึ่ง ได้  มันเริ่มมีความหมายคลุมเคลือว่า ชอบหมาทั่ว ๆ ไป หรือ ไปชอบหมามาตัวหนึ่ง  ผมสรุป สำหรับจำเริ่มต้นง่าย ๆ ว่า ถ้ามี a เข้ามาแล้ว ทำให้ความหมายเปลี่ยนไปเป็น การบอกจำนวน ว่า อันหนึ่ง ตัวหนึ่ง เราก็ต้องเลือกใช้ให้ถูกกับความหมายที่จะสื่อ เช่น

  • I want a dog.  ฉันอยากได้หมาสักตัวหนึ่ง
  • I want dogs.   ฉันอยากได้หมา   เป็นการพูดลอย ๆ ไม่ระบุจำนวน อาจจะอยากได้มากกว่าหนึ่งตัว หรือแค่พูดลอย ๆ ว่าอยากได้

แต่ถ้า a ไม่มีความหมายในการบอกจำนวน ก็ใช้ในการพูดลอย ๆ ได้  เช่นในประโยค A dog is a good animal. ข้างต้น  และในรูปประโยคบางอย่าง เมื่อใช้เป็นเอกพจน์ แล้วดูดีกว่า เช่น

  • A dog is a kind of mammal.   หมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง   สังเกตว่าประโยคนี้เราไม่แปลว่า หมาตัวหนึ่ง นะครับ และเราก็ไม่ใช้ว่า Dogs are a kind of mammal.  เพราะ รูปประโยคมันไม่กลมกลืนกัน ข้างหน้าเป็นประธานพหูพจน์ แล้วตามด้วยกรรมที่เป็นเอกพจน์   ไม่ถึงกับผิดไวยกรณ์ แต่ดูแล้วไม่สวยเท่า A dog

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว คราวหน้าอย่าไปใช้ว่า  I like dog.  นะครับ ยกระดับตัวเองขึ้นมาอีกขั้นให้เหมือนเจ้าของภาษา โดยใช้ว่า I like dogs. แค่เติม s เท่านั้นเอง

สำหรับนามนับไม่ได้ (uncountable noun) นั้น ไม่มีปัญหาอะไร คราวนี้เหมือนไทย ๆ เพราะไม่มีรูปเอกพจน์ หรือ พหูพจน์ให้วุ่นวาย เช่น

  • Sugar is sweet.  น้ำตาลหวาน
  • Sugar is not good for you.  น้ำตาลไม่ดีต่อคน
  • But I like sugar.  แต่ฉันชอบน้ำตาล

ความยากที่แท้ของเรื่องนี้ อยู่ที่ข้อยกเว้นครับ นามบางอย่างเป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ เช่น

นามบางคำเป็นพหูพจน์ โดยไม่ต้องเติม s เช่น people หรือ cattle (วัวควาย)

  • People are good internally.   คนเราลึก ๆ แล้วดี

นามบางคำเป็นได้ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ เช่น fish

  • I want to buy a fish.  ฉันอยากซื้อปลาสักตัวหนึ่ง
  • I like fish.   ฉันชอบปลา  (ใช้ลอย ๆ ได้ เพราะ fish เป็นพหูจน์ก็ได้)
  • I see a lot of fish.  ฉันเห็นปลามากมาย
  • I see a lot of fishes.  ฉันเห็นปลามากมาย หลายหลายชนิด   (fishes หมายถึงปลาหลากหลายชนิด หลายพันธุ์)

นามบางคำเป็นได้ทั้งนับได้ และนับไม่ได้ ขึ้นกับความหมายที่ใช้ เช่น

  • I like chicken.  ฉันชอบเนื้อไก่
  • He raises chickens at home.  เขาเลี้ยงไก่ที่บ้าน

มีคำที่ยกเว้นอย่างนี้เยอะครับ อันนี้ถ้าใช้ผิดก็ยังไม่ร้ายแรงนัก เจ้าของภาษาบางทีก็ใช้ผิด หรือใช้ปน ๆ กันบ้างเหมือนกัน แล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องที่

การใช้ An

An มีการใช้เหมือน A ครับ เพียงแต่ใช้นำหน้านามที่มีเสียงสระ คือ เสียง อ ขอเน้นว่า ตามเสียงนะครับ ไม่ใช่ตามรูป  นามส่วนใหญ่ที่ขึ้นต้นด้วยสระ คือ a, e, i, o, u แล้วออกเสียงสระ เช่น  an owner, an egg, an elephent, an ant, an umbrella, ฯลฯ

แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะคำบางคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ถ้าออกเสียงเป็น อ ก็ให้ใช้ An เช่น  an hour ,  an honour  (อเมริกันใช้ honor), an MBA an MC   (อ่านว่า เอ็มซี หมายถึง พิธีกร)

แต่ถ้าออกเสียงไม่ใช่ อ ก็ต้องใช้ A เช่น a unicorn , a university , a McDonald (ร้านแม็กโดนัล) เป็นต้น

ถ้ามีคุณศัพท์นำหน้านามก็ยังใช้กฏเดียวกัน คือ ถ้าเป็นเสียงสระนำก็ต้องใช้ An แทน A เช่น an old man, an odd shape, an ideal person , an unknown object เป็นต้น

การชี้เฉพาะโดยการใช้ The

ถ้าเป็นการพูดแบบชี้เฉพาะ เราก็สามารถใส่ this, that, these, those ลงไปได้ เช่น

  • I like that dog.  ฉันชอบหมาตัวนั้น

หรือจะใส่เป็น my dog, your dog ขยายลงไปก็เป็นการชี้เฉพาะเหมือนกัน อันนี้เราไม่สับสน เพราะภาษาไทยเรามี แต่ภาษาอังกฤษมีการชี้เฉพาะอีกแบบ คือ การใช้ the  ซึ่งเป็นคำนำหน้านามที่เจาะจง (definite article)  the อาจจะมีความหมายคล้าย ๆ that ก็ได้ คือ หมายถึงตัวที่กำลังพูดถึงอยู่ ไม่ใช่ทั่ว ๆ ไป เช่น

  • I saw a dog last night.  It followed me home.  It appeared that the dog did not have an owner.   ฉันเห็นหมาตัวหนึ่งเมื่อคืนนี้ มันตามฉันกลับบ้าน ดูเหมือนจะเป็นหมาไม่มีเจ้าของ  

สังเกตว่า เมื่อกล่าวถึงครั้งแรงเป็นหมาที่ไม่เจาะจง ถึงแม้เป็นตัวที่เรากำลังพูดถึงก็ตาม พอพูดถึงครั้งที่สอง the dog ก็หมายถึง หมาตัวนั้นที่กำลังพูดถึง  และสังเกตว่า owner เป็นนามนับได้ ก็ต้องใช้เป็น an owner

  • I want a dog with black spots.   อันนี้พูดโดยทั่วไป ว่าอยากได้หมาที่มีลาย จุดสีดำ
  • I want the dog with black spots.  อันนี้คนพูดอาจจะกำลังเลือกหมาอยู่ แล้วก็ชี้ไปว่าอยากได้ตัวนั้นที่มีลายจุดสีดำ  สังเกตอีกเช่นเดียวกันว่า spot เป็นนามนับได้ ดังนั้นต้องใช้เป็นรูปพหูพจน์ครับ

พูดง่าย ๆ คือ the ข้างต้น มีความหมายคล้ายกับ that ครับ จะใช้ that แทนก็ได้  แต่ว่า the ไม่ได้แปลว่า that เสมอไป มีที่ใช้กว้างขวางกว่ามาก เช่น

  • He is the one we are looking for.  เขาเป็นคนที่เรากำลังตามหาอยู่   ใครเคยดูหนังเรื่อง The Matrix ก็คงได้ยินคำว่า the one ใช้ในหนัง หมายถึง คนที่จะมากู้โลก
  • The brave will keep fighting on.  พวกผู้กล้าหาญจะสู้ต่อไป  อันนี้ถึงแม้เป็นการพูดลอย ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าใคร แต่ก็เป็นการเจาะจะว่า พวกผู้กล้า  พวกคนกลุ่มนี้ อย่างนี้ก็ใช้ the ได้
  • I want to know the truth.  ฉันต้องการรู้ความจริง    ความจริงคือการเจาะจงโดยปริยายครับ เพราะถึือว่ามืหนึ่งเดียว เช่นเดียวกับ the sun, the moon, the east, the west, the king, the Prime Minster, the President, the world, ฯลฯ  อะไรที่มีหนึ่งเดียว พูดแล้วรู้ว่าอะไร ก็ต้องใช้ the
  • This is the fastest car.  ใช้ the กับคำคุณศัพท์ขั้นสูงสุด
  • ใช้ขึ้นประโยคในความหมายว่า ยิ่ง … The more you practice, the better you will be.  ยิ่งฝึกฝนมากขึ้น คุณก็จะยิ่งเก่งมากขึ้น
  • winter, summer ไม่ต้องใช้ the  แต่ใช้  the summer season, the rainy season
  • in the morning, in the afternoon, in the evening  แต่ใช้ during daytime หรือ during nighttime ไม่ต้องมี the

ชื่อเฉพาะส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้กับ the เช่น ชื่อประเทศ ชื่อเมือง ชื่อคน แต่ก็มีข้อไวยกรณ์ปลีกย่อยยกเว้นมากมาย เช่น

  • The Smiths are coming.  ครอบครับสมิทธ์จะมากินอาหารเย็น  ใช้ the กับชื่อสกุล และเติม s หมายถึงคนในตระกูลนั้น
  • Thai  คนไทย เป็นนามนับได้  เช่น He is a Thai.  หรือ Thais are good people.   แต่ใช้ the Thai people
  • Thai ภาษาไทย  เช่น He speaks Thai.  แต่ใช้ the Thai language
  • ชื่อภูเขา ทะเล มหาสมุทร ภูมิศาสตร์ทั้งหลายให้ใช้ the เช่น  the pacific, the pacific ocean, the Mae Khong river, the Everest mountain, ฯลฯ
  • ชื่อประเทศไม่ต้องใช้ the ยกเว้นบางประเทศ เช่น the Philippines, the United Kingdom, the United States of America, the Netherlands เป็นต้น
  • ฯลฯ

สำนวนที่ใช้นามนับได้ลอย ๆ ได้

ที่ว่านามนับได้ ถ้าพูดแบบไม่ชี้เฉพาะ ต้องมี a หรือ ต้องเป็นพหูพจน์ ก็มีข้อยกเว้นครับ  มีสำนวนอยู่หลาย ๆ สำนวนที่ใช้กันติดปาก เช่น

  • I will go to school tomorrow.  หรือ You need to be in school.  school เป็นนามนับได้  แต่ในที่นี้ใช้ว่า ไปโรงเรียน หรือ ไปเรียน แบบไทย ๆ ถึงแม้เป็นโรงเรียนที่ไปประจำอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ go to the school  เราจะใช้ the school ก็ต่อเมื่อจะหมายถึงตัวสถานที่จริง ๆ คือ ไม่ได้หมายถึงว่าไปเรียน แต่หมายถึงไปที่โรงเรียน เช่น Let’s meet at the school tomorrow.  ไว้เจอกันที่โรงเรียนวันพรุ่งนี้

มีคำอย่างนี้อีกครับ เช่น

  • See you in court.  เจอกันที่ศาล ก็หมายถึงว่า ฉันจะฟ้องร้องเธอ  ไม่ได้หมายถึง นัดเจอกันที่ศาล
  • Go to prison หรือ in prison.  แปลว่า ติดคุก ไม่ได้หมายถึง ตัวสถานที่คุกโดยตรง
  • Go to hospital หรือ in hospital แปลว่า ไปโรงพยาบาล หรือ ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่ได้หมายถึง ตัวโรงพยาบาลโดยตรง
  • Go to bed  แปลว่า ไปนอน ไม่ได้หมายถึงโดยตรงว่า ไปที่เตียง
  • I want to go home.  ฉันอยากไปบ้าน
    I want to buy a home.  ฉันอยากจะซื้อบ้าน   home ในที่นี้ใช้ในความหมายคล้ายกับ house 
  • ฯลฯ

» กลับไปที่ สารบัญ

Updated: 26 มกราคม 2020

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

five − 3 =

Copyright © 2013-2024 betterenglishforthai.net