17. เสียงเชื่อมระหว่างคำ (Linking Sounds)

เสียงเชื่อมระหว่างคำเป็นเอกลักษณ์อันหนึ่งของภาษาอังกฤษที่ภาษาไทยเราไม่มี รากฐานก็มาจากการที่ภาษาอังกฤษมีการออกเสียงพยัญชนะลงท้ายคำที่ชัดเจน เมื่อพูดติด ๆ กับคำอื่น ๆ เสียงก็เลยเกิดการพัวพันกันเพื่อจะทำให้พูดได้ง่ายขึ้น  ตัวอย่างที่คนไทยเราคุ้นเคย ก็คือ Thank you  เราออกเสียงว่า -แธ็ค-กิว- ซึ่งก็เพี้ยนมาจาก -แธ็ค-คยู-  เราไม่ออกเสียงว่า -[แธ็ค]-ยู-

ปัญหาคือ เราไปจำเป็นคู่กันว่า สองคำนี้เมื่ออยู่ด้วยกันออกเสียงรวมกันว่า -[แธ็ค]-กิว- แล้วถ้าเราไปเจอคู่อื่น ๆ ก็ต้องจำต่อไปอีก ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกนัก วิธีที่ถูกต้องคือ การหัดพูดให้มีเสียงพยัญชนะท้าย ลองพูด Thank ให้มีเสียง -ค- ลงท้ายเป็น “เคอะ” นิด ๆ เหมือนที่หัดมาในบทที่11 นะครับ แล้วก็ลองพูดยูตาม ช้า ๆ ก่อนเป็น -แธ็ค- -ยู-  คุณจะสังเกตว่ามันจะต้องมีจังหวะหยุดตรงกลางระหว่างสองคำนี้ เพื่อให้ทำลงท้าย “เคอะ” ได้   คราวนี้ก็ลองพูดให้เร็วขึ้นเท่าที่จะทำได้ แต่ยังเก็บเสียง -ค- อยู่ ให้รู้สึกถึงความลำบากว่าต้องเปลี่ยนรูปปากมาทำเสียง -ยู- เห็นไหมครับว่ามันลำบาก พอเห็นแล้วคราวนี้ก็ปล่อยปากตามสบายพูดให้มันเชื่อมติดกัน เสียงมันก็จะกลายเป็น -แธ็ค-คยู-  หรือ -แธ็ค-กยู- หรือ -แธ็ค-กิว- ตามธรรมชาติของมัน โดยไม่ต้องไปจำเลย (เสียง -ค- เพี้ยงเป็นเสียง -ก- ได้ ตามที่อธิบายไปแล้วในบทที่ 11)

ในภาษาไทยเรานั้น มีเสียงพยัญชนะลงท้ายบ้างเหมือนกัน เช่น แม่กบ แม่กด แม่กง เป็นต้น แต่เป็นแบบอ่อน ๆ คือ เราเอาเสียงตัวสะกดมาแปลงกับเสียงสระเฉย ๆ แต่เราไม่มีเสียงเอื้อน หรือไม่มีปลายเสียงเหมือนภาษาอังกฤษเขา แต่ผมก็ขอเสริมแย้ง ๆ ว่า คนไทยสามารถฝึกให้มีทักษะทำเสียงเชื่อมระหว่างคำได้ไม่ยากนัก  หลักฐานนั้นมีอยู่ในการพูดภาษาไทยเหมือนกัน เช่น คำว่า สิบเอ็ด ถ้าพูดให้ถูกต้อง ก็ต้องทำพยางค์หลังให้ชัดถ้อยชัดคำ เอ็ด ต้องพยายามเปลี่ยนรูปปากให้ฉับพลันจากพยางค์ที่หนึ่งไปพยางค์ที่สอง  แต่ถ้าพูดแบบสบาย ๆ เร็ว ๆ ไม่ระวัง มันก็กลายเป็น สิบเบ็ด  เสียงมันพัวพันกันเหมือนในภาษาอังกฤษ  หรือ คำว่า กรกฏาคม  บางคนก็พูดผิดแบบสบายปากเป็น กะ-ดัก-กะ-ดา เป็นต้น

ดังนั้น คนทั่วไปพอมีสัญชาตญาณเรื่องการเชื่อมเสียงอยู่บ้างแล้วครับ  เคล็ดลับการทำเสียงเชื่อมระหว่างคำ ก็คือ การทำเสียงลงท้ายคำให้ถูกต้องเท่านั้นเอง แล้วก็ปล่อยปากให้สบาย ๆ เวลาพูดหลาย ๆ คำติดกัน  เสียงมันจะปนกันบ้าง ไม่ปนกันบ้างก็ปล่อยไปตามเรื่องของมัน เป็นธรรมชาติของมันเอง ไม่ต้องไปเครียด  บทนี้ ก็จะเอาตัวอย่างมาแนะนำ เช่นเคยนะครับ ตัวอย่างพวกนี้เอามาเพื่อมาฝึกให้เกิดทักษะกัน และทำให้สังเกตได้เวลาฟัง  แต่ไม่ได้มาเสนอให้จำไปใช้นะครับ

 

เมื่อพยางค์ตามหลังเป็นเสียงสระ

อันนี้คิดว่าเราค่อนข้างคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น คำซึ่งเกิดจากการเติม ing ลงในคำกริยาทั่วไป  ซึ่งทำให้เกิดเป็นคำใหม่ที่มีพยางค์มากขึ้นอีกพยางค์หนึ่ง เสียงอักษรต้นของพยางค์หลังก็มาจากอักษรท้ายของพยางค์หน้า แต่ที่น่าสังเกตนิดหนึ่งก็คือ มักมีการเพี้ยนเสียงจากเสียงไม่ก้อง (voiceless) เป็นเสียงก้องได้  เช่น -ท- กลายเป็น -ต-  -ค- กลายเป็น -ก- และ -พ- กลายเป็น -ป-  เป็นต้น  เรื่องนี้ก็มีลักษณะเหมือนที่ได้เคยอธิบายไปบทก่อน ๆ แล้วนะครับ  ตัวอย่างเช่น

  • kicking  -[คิค]-กิง-
  • keeping  -[คีพ]-ปิง-
  • renting   -[เร้น]-ติง- หรือ -[เร้น]-ทิง-
  • amazing   -เอะ-[เม]-ซิง-
  • running  -[รัน]-นิง-
  • ringing  -[ริง]-งิง-
  • serving  -[เสิฯ]-ฯิง-
  • watching  -[วอท]-ชิง-
  • judging   -[จัจ]-จิง-
  • caring  -[แค]-ริง-  (มาจาก care)

เหมือนที่เคยอธิบายข้างต้นนะครับว่า ถ้าเราไปบังคับตัวเองให้พูด running เป็น -[รัน]-อิง- เหมือนเป็นสองคำชัดถ้อยชัดคำ มันก็จะเกิดอาการขัด ๆ ปากกว่าการพูดแบบสบาย ๆ ปากว่า  -[รัน]-นิง- ใช่ไหมครับ ลองฝึกให้เข้าใจความรู้สึกอันนี้ดู ทีนี้เวลาที่เป็นคำสองคำมาต่อกัน  เราก็ทำในลักษณะเดียวกับการเติม ing นั่นเอง ลองดูตัวอย่างการพูดวลีเหล่านี้ดู

  • keep it    -คีพ- -อิท-  กลายเป็น   -[คีพ]-พิท- หรือ -[คีพ]-ปิท-
  • kick out   -คิค- -เอาท-  กลายเป็น   -[คิค]-เคาท-  หรือ -[คิค]-เกาท-
  • look inside  -ลุค- -[อิน]-ไสด-  กลายเป็น   -[ลุค]-คิน-ไซด-  หรือ -[ลุค]-กิน-ไซด-
  • get out    -เกท- -เอาท-  กลายเป็น   -[เกท]-เทาท- หรือ -[เกท]-เตาท- คนอเมริกันก็ชอบเพี้ยนเป็น -[เกด]-เดาท-
  • what if    -วอท- -อีฟ-  กลายเป็น   -[วอท]-ทีฟ- หรือ -[วอท]-ตีฟ- คนอเมริกันก็ชอบเพี้ยนเป็น -[วอด]-ดีฟ-
  • bend it    -เบนด- -อิท-  กลายเป็น   -[เบน]-ดิท-
  • watch out  -วอทช- -เอาท-  กลายเป็น   -[วอท]-เชาท-
  • wash out  -วอฉ- -เอาท-  กลายเป็น   -[วอฉ]-เฉาท-
  • run out    -รัน- -เอาท-  กลายเป็น   -[รัน]-เนาท-
  • ring in     -ริง- -อิน-  กลายเป็น   -[ริง]-งิน-
  • come on  -คัม- -ออน-  กลายเป็น   -[คัม]-มอน-
  • serve it    -[เสิฯ]- -อิท-  กลายเป็น   -[เสิฯ]-ฯิท-
  • face it     -[เฟส]- -อิท-  กลายเป็น   -[เฟส]-สิท-
  • take care of  -เทค- -แคร- -ออพ-  กลายเป็น   -เทค-[แค]-รอฟ-
  • four hours  -ฟอร- -อาวรซ-  กลายเป็น  -ฟอ-ราวรซ-
  • call off    -คอล- -ออพ-  กลายเป็น   -[คอล]-ลอพ-
  • old age   -โอลด- -เอจ-  กลายเป็น  -โอล-เดจ-
  • What’s up?  -วอทส- -อัพ-  กลายเป็น  -วอท-สัพ-
  • SMS   -เอส- -เอม- -เอส-  กลายเป็น  -เอส-เสม-เมส-
  • HIV  -เอช- -ไอ- -ฯี-  กลายเป็น  -เอช-ไช-ฯี- หรือ เพี้ยนเป็น -เอช-ไจ-ฯี-

ขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่ต้องไปจำว่าคำคู่นั้นคู่นี้ต้องออกเสียงควบกันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และเสียงเชื่อมไม่จำเป็นต้องมีเสมอไป ในบางกรณี เช่น ถ้าจะตะโกนสั่งใครชัดถ้อยชัดคำว่า Get out ก็พูดสองคำโดด ๆ ก็ได้ ไม่ต้องเชื่อมเสียง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเน้นคำในประโยคซึ่งเราจะพูดถึงโดยละเอียดในบทที่ 18  คำบางคำถ้าเน้นขึ้นมา จะพูดชัดถ้อยชัดคำก็ได้ ไม่จำเป้นต้องเชื่อมกับคำข้างหน้า  ดังนั้น อันนี้เป็นเรื่องของจังหวะการพูดด้วย อย่าไปบอกว่าใครไม่เชื่อมเสียงตรงนั้น ตรงนี้ หรือทำน้อยทำมาก แล้วผิด ไม่ถึงกับผิดนะครับ

 

เมื่อพยางค์ตามหลังเป็นเสียง h

การเชื่อมเสียงระหว่างคำนี้ นอกจากจะเกิดขึ้นเด่นชัดกับคำตามหลังที่เป็นเสียงสระแล้ว ยังเกิดขึ้นกับคำตามหลังที่ขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะ h (-ฮ-) กับ y (-ย-) ด้วย อันนี้ ก็เนื่องจากเสียงพยัญชนะของสองตัวนี้ มีลักษณะเสียงอ่อน คล้ายกับเสียงสระ ทำให้ผสมกับเสียงที่มาข้างหน้าได้ด้วย โดยเฉพาะพวกพยัญชนะที่มีเสียงเด่น ๆ (มีเสียงฟัน หรือเสียงกระแทก) ได้แก่ k, t, d, s, z, ch, sh เป็นต้น  ก็จะมีการเชื่อมเสียงเกิดขึ้นได้  แต่การเชื่อมเสียงนี้แปลกกว่าปกติหน่อย เขาไม่เอาเสียงพยัญชนะลงท้ายของคำข้างหน้ามาใช้แบบเต็ม ๆ เหมือนกับการผสมกับเสียงสระ แต่จะเอามาผสมกลมกลืนกับเสียง h หรือ y ที่ตามมา  ลองฟังตัวอย่างสำหรับสำหรับตัวที่ง่ายกว่าก่อน คือ ตัว h  เช่น

  • He goes home.    -โกซ- -โฮม-   ก็ผสม ๆ กัน คล้าย ๆ กับ -โก-โซฮม-
  • She is happy.       -ฮีซ- -[แฮพ]-ปี-  เช่นเดียวกัน ผสม คล้าย ๆ กับ -ฮี- -[แซฮพ]-ปี-
  • take home           -เทค- -โฮม-  ก็ผสม ๆ กัน คล้าย ๆ กับ -เทค-โคฮม-
  • Get here.             -เกท- -เฮียร-  เช่นเดียวกัน ผสม คล้าย ๆ กับ -เกท-เทฮียร-

ฟังเผิน ๆ บางทีก็เหมือนไม่ได้ยินเสียง h ซึ่งก็ถือว่าปกตินะครับ เพราะมันถูกพยัญชนะที่เด่นกว่ากลืน ๆ ไป เสียง h ของพวกคำสรรพนาม ได้แก่ he him her his hers ก็นิยมพูดโดยไม่ออกเสียง h นะครับ  โดยเฉพาะสำเนียงอเมริกัน เรื่องนี้ผมจะพูดถึงอีกครั้งในบทถัดไป เกี่ยวกับการออกเสียงของคำในประโยค ตอนนี้ดูตัวอย่างพอเข้าใจเรื่องการเชื่อมเสียงก่อน เช่น

  • Find him         -ฟายด- -ฮิม-  สามารถออกเสียงลดรูปได้เป็น  -ฟาย-ดิม-
  • Tell her           -เทล- -เฮอร-  สามารถออกเสียงลดรูปได้เป็น  -เทล-เลอร-
  • Kiss him          -คิส- -ฮิม-  สามารถออกเสียงลดรูปได้เป็น  -คิส-สิม-
  • Push him         -พุฉ- -ฮิม-  สามารถออกเสียงลดรูปได้เป็น  -พุฉ-ฉิม-

เช่นเดียวกัน เสียง th บางครั้งก็สามารถถูกกลืน อาการคล้าย ๆ กับ เสียง h เหมือนกัน แต่อันนี้ค่อนข้างจำกัด ไม่แพร่หลายเท่ากับเสียง h เช่น

  • Find them        -ฟายด- -เดม-  สามารถออกเสียงลดรูปได้เป็น  -ฟาย-เดม-
  • Tell them         -เทล- -เดม-  สามารถออกเสียงลดรูปได้เป็น  -เทล-เลม-
  • What’s that?   -วอทส- -แด็ท-  สามารถออกเสียงลดรูปได้เป็น  -วอท-แสดท-  หรือ -วอท-แสท- ไปเลย

 

เมื่อพยางค์ตามหลังเป็นเสียง y

เสียงตัว y หรือ -ย- ที่เป็นพยัญชนะขึ้นต้นคำ ก็มีการเชื่อมกับพยัญชนะท้ายที่เด่น(มีเสียงฟัน หรือเสียงกระแทก) เช่นกัน แต่ตัว y นี้แสบกว่า เพราะเวลาเสียงผสมกันแล้ว เสียงอาจจะเปลี่ยนไปฟังคล้ายเป็นเสียงใหม่ไปเลยก็มี ลองดูตัวอย่าง เช่น

  • thank you  -แธงค- -ยู-   ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -แธงค-คกู- หรือ -แธงค-คกู- หรือ -แธงค-กิว-  ก็ถือว่าใช้ได้ครับ
  • pick you    -พิค- -ยู-   ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -พิค-คกู-
  • meet you   -มีท- -ยู-  ลองพูดดู ก็จะเห็นว่า ถ้าจะออกเสียง t ก็จะทำให้พูดสองคำนี้ติดต่อกันยาก  เหมือน Thank you ที่เราลองหัดไปแล้วนะครับ ในกรณีนี้เสียง -ท- จะเกิดการเชื่อมกับเสียง -ย-  กลายเป็นประมาณเสียง -ช- (ch) หรือ -จ- (j) ดังนั้น สองคำนี้อ่านติด ๆ กันได้ว่า -มีท-ชู-  หรือ -มีท-จู- หรือกึ่ง ๆ ระหว่าง -ช- กับ -จ- ก็แล้วแต่ถนัด
  • next year   -เน็สท- -เยียร-   ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -เน็สท-เชียร- หรือ -เน็สท-เจียร-
  • last year   -ลาสท- -เยียร- (หรือ แบบอเมริกัน -แลสท- -เยียร-)  ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -ลาสท-เชียร- หรือ -ลาสท-เจียร-
  • not yet   -น็อท- -เยท-   ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -น็อท-เชท- หรือ -น็อท-เจท-
  • Did you  -ดิด- -ยู-   ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -ดิด-จู-
  • send you  -เสนด- -ยู-   ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -เสน-จู-
  • this year   -ดิส- -เยียร-   ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -ดิส-เฉียร-  มีเสียง -ส- แล้วก็เปลี่ยนเป็นเสียง -ฉ- (sh)
  • miss you -มีส- -ยู-   ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -มิส-ฉยู-
  • push you   -พุฉ- -ยู-   ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -พุฉ-ฉู-
  • catch you   -แคทช- -ยู-   ออกเสียงติด ๆ กันได้เป็น -แคทช-ชู-
  • W (Double U)  -[ดับ]-เบิล-ยู-  เสียง L ผสมกับ y ได้อีก เป็น -[ดับ]-เบิล-ลยู-  หรือ -[ดับ]-บลยู- หรือ -[ดับ]-บลิว- ก็พอใช้ได้ครับ แต่อย่าออกเป็น  -ดับ-บิว- แบบไม่มีเสียงเสียง -ล- ที่คนไทยชอบพูดกัน แล้วบางทีเน้นพยางค์หลัง อันนี้เพี้ยนเกินไป ผมว่าคนต่างชาติจะฟังไม่รู้เรื่อง
  • canyon  เสียง -[แคน]-เยิน- สังเกตว่าเสียง -น- -ย- ก็ยังปนกันได้เป็น  -[แคน]-เนยิน-
  • Can you?   -[แคน]-นยู-      Can’t you?    -[แคน]-จยู-


 

เมื่อพยางค์ตามหลังเป็นเสียงพยัญชนะ

มาพูดเรื่องกลับตาลปัดของเสียงลงท้ายกันสักหน่อย ที่ผ่านมาเราได้เห็นแล้วว่าเสียงลงท้ายมีความสำคัญมากอย่างไร  และผมก็บอกหลายทีว่าควรออกให้ชัดเจน  ตอนนี้ก็เป็นตอนที่ผมต้องขอถอนคำพูดเล็กน้อยนะครับ ว่ามันไม่ได้จริงเสมอไป  เวลาเสียงพยัญชนะมาเจอกันสองตัว มันก็กลืนกันไม่ค่อยลง ผสมกันไม่ค่อยได้  โดยเฉพาะเสียงพยัญชนะพวกที่เป็นเสียงกระแทก เช่น  t, d,  k, p, b  เวลาที่เป็นเสียงลงท้าย แล้วคำต่อมาเป็นเสียงพยัญชนะ พวกเสียงปลายนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำชัดเจน จะออกเสียงคล้ายเป็นตัวสะกดแบบไทย ๆ ได้  ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็ต้องออกเสียงเป็นคำ ๆ แยกกัน ไม่เป็นธรรมชาติ  พวกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่อ่านหนังสือได้ ส่วนใหญ่ก็จะพูดไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ เพราะไปออกเสียงเป็นคำ ๆ มาต่อกัน ไม่ได้ออกเสียงให้ราบรื่น (ซึ่งบางครั้งก็มีการกลืนเสียงหายไปบ้าง) เหมือนเวลาคนพูดกันจริง ๆ  ดูตัวอย่างเช่น

  • bad man   -แบด- -แมน-   สังเกตว่าเสียงปลาย เดอะ ของ d นั้นไม่มี   ก็เหมือนเราพูด แบดแมน ในภาษาไทย
  • bat man   -แบ็ท- -แมน-  เช่นเดียวกันว่า เสียง เทอะ ของ t นั้นไม่มี  ส่วนคุณลักษณะที่ว่า ตัว bat ออกเสียงสั้นกว่า bad นั้นก็ยังมีอยู่  คนฟังเขาก็แยกแยะได้ครับว่าพูด bat หรือ bad
  • hard work  -ฮาด- -เวอรค-
  • white car   -ไวท- -คาร-
  • Take me   -แทค- -มี-
  • backboard  -แบ็ค-บอรด-
  • top dog    -ท็อพ-ดอก-
  • popcorn  -พ็อพ-คอรน-
  • bobcat  -บอบ-แคท-

โดยเฉพาะ เสียง d หรือ t ที่ตามหลัง n หรือ s  เสียงนั้นก็อาจฟังไม่ได้ยินเลย ตัวอย่างเช่น

  • last stop   -[แลสท]- -สะ-[ตอพ]-   เชื่อมกันกลายเป็น -[แลส]-สะ-[ตอพ]-   ตัวอย่างอื่นข้างล่างก็เหมือนกันนะครับ ผมจะไม่เขียนว่าเชื่อมกันเป็นอย่างไรแล้ว ให้ลองฟังและสังเกตดู
  • fast car  -แฟสท- -คาร-
  • He wants to   -วอนทส- -ทู-
  • find someone  -ฟายด- -[สัม]-วัน-
  • grandmother  -แกรนด- -[มา]-เดอระ-
  • missed something.  –มีสท- -[สัม]-ธิง-   (ดูเรื่องการออกเสียงคำกริยาที่เติม ed ในบทที่ 9 นะครับ)
  • amazed by this.  -เอะ-[เมซด]- -บาย- -ดิซ-
  • turned bad   -เทรนด- -แบด-

ที่เล่ามานี้ ก็ไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะสอนให้ลักไก่ไม่ต้องออกเสียง ed  หรือ ไม่ต้องออกเสียงพยัญชนะลงท้ายในบางจุด  แต่เพื่อบอกว่าเราควรออกเสียงลงท้ายอยู่ทุกจุด แต่ไม่ต้องไปพะวงมากนักในกรณีที่เราต้องทำปากยาก ๆ เวลามีพยัญชนะหลาย ๆ ตัวที่ติด ๆ กัน  ฝรั่งเขาก็ทำยากเหมือนกัน ก็ปล่อยไปตามสบาย ออกเสียงให้เป็นธรรมชาติ  อย่างไปพยายามจำครับ ว่าตรงนั้นตรงนี้ไม่ต้องออกเสียง แค่รู้ไว้ว่ามันมีอาการอย่างนี้อยู่ในภาษาอังกฤษก็พอ ข้อยกเว้นจากที่ผมได้เล่ามาก็คงมี และความแตกต่างระหว่างการออกเสียงในแต่ละท้องถิ่น แต่ละสำเนียงก็มี  ดังนั้น เราได้ยินมาอย่างไร ทำให้เกิดความเคยชิน แล้วก็พูดตามไปอย่างนั้น  ถ้าใครเก่งขึ้นมาแล้วรู้ว่าทำได้หลายแบบ ชอบแบบไหนก็เอาแบบนั้นไป

Updated: 7 เมษายน 2014

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

19 + twelve =

Copyright © 2013-2024 betterenglishforthai.net